counters
hisoparty

3 Romantic Places with lover

6 years ago

Moorea Island

อาจจะไกลไปนิด แต่เกาะโมรีอา (Moorea) จะสมนาคุณนักเดินทางทุกคนด้วยความโรแมนติก และความสงบงาม

โมรีอาเป็นหนึ่งในเกาะงามที่ทอดตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนใต้ และอยู่ในกลุ่มเกาะของเฟรนช์ โพลีนีเซีย (French Polynesia)

ระยะห่างจากเกาะตาฮิติ (Tahiti) แค่ 17 กิโลเมตร ทำให้การสัญจรไปหาเกาะโมรีอาทำได้ไม่ยากนัก หากใครไปหาโมรีอาด้วยเครื่องบิน จังหวะที่เรือบินค่อยๆ หย่อนตัวลงแนบมหาสมุทรแปซิฟิก จะเห็นลากูนสีฟ้าสดที่โอบเกาะทั้งเกาะเอาไว้ น้ำทะเลไล่เฉดกันอย่างมีมิติ แถมยังมีเทือกเขาสีเขียวครึ้มที่ทำให้เกาะโมรีอา ดูงดงามลึกลับ

ว่ากันว่า สาเหตุที่ภูมิทัศน์ของเกาะโมรีอาเป็นภูเขาที่ดูหน้าตาเว้าแหว่ง ก็เพราะในอดีตภูเขาไฟขนาดใหญ่ด้านหนึ่งเกิดการยุบตัวลงในทะเล

จึงเป็นเหตุให้เกาะนี้มีทิวเขาเป็นหุบเหว คู่รักคู่ไหนที่ชอบสำรวจโลกใต้น้ำ รับรองว่ามาเกาะโมรีอาคุณจะต้องร้องว้าว เพราะที่นี่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะที่มีระบบนิเวศของแนวปะการังชายฝั่งที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลก

ไม่ว่าจะชอบดำน้ำลึกหรือดำน้ำตื้น มาถึงที่นี่แล้ว คนชอบสำรวจโลกใต้น้ำจึงดูมีความสุขพอๆ กับคนควงคู่กันมาฮันนีมูน

เมื่อมาถึงที่นี่ ไม่มีอะไรดีไปกว่า การได้นอนผึ่งร่างอยู่บนชายหาดอันขาวละเอียด แค่อยู่กับหนังสือเล่มโปรด จิบเครื่องดื่มเย็นๆ นอนฟังเสียงคลื่นเคล้ากับเสียงลม ปล่อยให้แดดเผ็ดๆ ทาบทาลงบนผิว แค่นี้ก็เป็นวันพักผ่อนที่มีคุณภาพแล้ว

แต่ถ้าใครชอบกีฬาทางน้ำ แพดเดิล บอร์ด ถือเป็นกีฬาทางน้ำที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบนี้ เรียกว่าคนมาแถวนี้แล้วต้องลองหัดขึ้นไปยืนทรงตัวบนแผ่นกระดาน ยิ่งถ้าใครไปกับคนรัก ลองชวนกันตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน จะเป็นความสุขอย่างแรกของวันที่พวกเขาร่วมกันเนรมิตขึ้น มันไม่ใช่ที่ๆ ดวงตะวันขึ้นสวยที่สุดในโลกหรอก แต่อย่างน้อยก็เป็นโมเมนต์งามๆ หวานๆ ที่ทำให้หลายคู่จดจำไปอีกนาน

เชื่อเถอะว่า ลองไปใช้ชีวิตหวานๆ บนเกาะโมรีอา ก็จะเวียนว่ายอยู่กับค่ำคืนอันแสนโรแมนติก ดื่มด่ำอากาศดีๆ ที่ห่มอยู่เหนือท้องฟ้าของเกาะแห่งนี้

ใต้ทะเลดาวกลางมหาสมุทรแปซิฟิก คลื่นลมแห่งโมรีอาพัดพาความสุขกองพะเนินมาห่มอยู่รอบตัวคู่รัก มันอาจเป็นความสุขชั่วครู่ชั่วคราว แต่ก็ทำให้รู้ว่าโมรีอาบรรณาการความสุขให้นักเดินทางเสมอ

Cinque Terre

สแกนไปตรงไหนของแผนที่รองเท้าบูทก็เจอแต่เมืองสวยๆ เต็มไปหมด แต่ที่นักเดินทางยกให้เป็นมุมโรแมนติกที่เหมาะจะเกี่ยวก้อยหวานใจไปสูดอากาศ ก็ต้องยกให้ซิงกเว แตร์เร่ (Cinque Terre)

ไม่ว่าใครจะมาหาซิงกเว แตร์เร่จากเมืองเจนัว (Genoa) มิลาน (Milan) หรือจากฝั่งโบโลญญ่า (Bologna) ปิซ่า(Pisa) ฟลอเร็นซ์ (Florence) หรือโรม (Rome) ก็สะดวกไปซะหมด แต่ที่เป็นต้นทางจริงๆ น่าจะเป็นเมืองลา สปีเซีย (La Spezia)

หลายคนอาจจะรู้จักซิงกเว แตร์เร่ว่าเป็นหมู่บ้านริมทะเล 5 แห่งที่โรยไว้ด้วยสีสัน แต่ที่มากกว่านั้นคือซิงกเว แตร์เร่เป็นทั้งอุทยานแห่งชาติ และเป็นทั้งมรดกโลกที่ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนไว้ได้ซักพักแล้ว

อาจจะมีหลายวิธีที่สามารถไปทำความรู้จักกับซิงกเว แตร์เร่ แต่วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือนั่งรถไฟจากลา สปีเซียแล้วไปหย่อนตัวลงแวะเที่ยวทีละหมู่บ้าน เริ่มจากริโอมาจอร์เร (Riomaggiore) หมู่บ้านที่เป็นหุบเขาแห่งสีสัน มองจากจุดชมวิวจะเห็นบ้านเรือนตั้งเรื่อยไล่กันไปบนเนินเขา มียอดโบสถ์ดึงสายตาทุกคู่ให้หยุดมอง

หากเดินไต่บันไดและตรอกแคบๆ ลงไปตามเนิน ชวนให้รู้สึกเหมือนอยู่ในหมู่บ้านสีลูกกวาด เพราะถูกห้อมล้อมไว้ด้วยอาคารบ้านเรือนหลากสีสัน ถนนสายหลักกลางหมู่บ้านมีทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการ ร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายของชำและผักผลไม้ และที่ขาดไม่ได้คือร้านขายไอศกรีม

ถัดไปเป็นหมู่บ้านมานาโรลา (Manarola) หมู่บ้านเก่าแก่ที่อาคารบ้านเรือนเลื้อยไล่ไปบนระเบียงผา แต่ละหลังถูกจับทาสีแสบสัน หน้าอ่าวของมานาโรลาเป็นไฮไลท์ของหมู่บ้านนี้ ยิ่งถ้าเดินไปตามเส้นทางเดินเขาแล้วมองย้อนกลับมา จะเห็นโขดหินระเกะระกะอยู่หน้าอ่าว บ้านเรือนสีฉูดฉาดซ้อนทับกันอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่สวยงามแปลกตาเหลือเกิน

หมู่บ้านที่ 3 คือคอร์นิกเลีย (Corniglia) หมู่บ้านที่ทอดตัวอยู่บนเขา ที่สุดทางของหมู่บ้านคือจุดชมวิว ที่มองเห็นเวิ้งอ่าว และทะเลผืนกว้างที่ทอดตัวอยู่อย่างสงบนิ่ง ยังมีหมู่บ้านเวอร์นาสซา (Vernazza) ที่หลายคนยกให้เป็นไฮไลท์ แม้แต่คนอิตาลีเองก็บอกว่าหมู่บ้านนี้มีเสน่ห์ที่สุด และหมู่บ้านสุดท้ายคือมอนเตรอสโซ (Monterosso) หมู่บ้านริมทะเล ที่มีชายหาดยาวเหยียดให้นักท่องเที่ยวไปนอนผึ่งแดดกัน และมีทางเดินเลียบทะเลให้ผู้คนมานั่งชิลล์กันยามเย็น

พูดเลยว่าซิงกเว แตร์เร่คือมุมหนึ่งของอิตาลีที่จะทำให้ทุกคู่รักเดินจากไปด้วยหัวใจฉ่ำสีสัน

Krakow

พูดถึงเมืองโรแมนติกในยุโรป อาจจะมีหลายเมืองที่คนนึกถึงอย่างปราก ปารีส แต่ยังมีเมืองหนึ่งในโปแลนด์ที่โรแมนติกไม่เบาเหมือนกัน ที่นั่นคือคราเคา หรือคราคอฟ

 คราคอฟเป็นเมืองโบราณอายุเกินพันปี และแม้จะได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเมืองหลวงของโปแลนด์จนถึงแค่ศตวรรษที่ 16 แต่คราคอฟก็เป็นเมืองที่ยังคงความเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรม เป็นรากอารยธรรมของชาวโปล และเป็นศูนย์กลางด้านศาสนา

มีอยู่เรื่องเดียวที่คนทั้งโลกขอบคุณกองทัพนาซี คือไม่ได้ถล่มเมืองคราคอฟให้ย่อยยับคามือเหมือนกับที่ลงมือทำกับเมืองอื่นๆ ทั้งที่ตอนนั้นกองทัพนาซีใช้ที่นี่เป็นฐานบัญชาการเสียด้วยซ้ำ แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คราคอฟกับรอดเงื้อมมือจากการถูกทำลาย เพราะกองทัพนาซีถอนกำลังออกอย่างรวดเร็ว จนไม่มีเวลามาถล่มเมือง จึงเป็นโชคดีของชาวคราคอฟ และโชคดีของคนรุ่นหลัง ที่ได้มีโอกาสเห็นเมืองทั้งเมืองสวยแบบดั้งเดิม

ในอดีตที่นี่คือเมืองยิ่งใหญ่ และมีความสวยแบบผสมผสาน เพราะหากเดินให้ทั่วเมือง ก็จะพบว่าคราคอฟมีทั้งสถาปัตยกรรมแบบบาร็อค โกธิก เรเนสซองส์ ร็อกโคโค อาร์ตนูโว และนีโอคลาสสิค นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเข้าตายูเนสโก้ จนต้องมอบตำแหน่งเมืองมรดกโลกไว้แขวนประดับเมือง

เมืองโรแมนติกอย่างคราคอฟ ต้องค่อยๆ ละเลียดเที่ยวไปทีละนิด แต่เชื่อเถอะ คู่รักคู่ไหนได้พากันมาทอดน่องมองเมืองนี้ ระดับความหวานจะยิ่งขยับขยายพองตัวขึ้นอีก

ไม่อยากให้ความรักจืดจาง นี่คือ 3 สถานที่ที่ควรพาคนรักไปเติมความหวานโดยด่วน

Photo & Story by กาญจนา หงส์ทอง

SHARE