หากจัดทำเนียบผู้หญิงทำงานเก่งแต่ยังดูชิลล์ เราขอยกให้เธอคนนี้อยู่ในอันดับท็อปไฟว์ เพราะด้วยธุรกิจที่เธอทำนับนิ้วมือข้างเดียวเกรงว่าจะไม่พอ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจออแกไนเซอร์, ธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์จัดงาน, แบรนด์เสื้อเชิ้ต Button Up, ธุรกิจนำเข้าแชมเปญ และล่าสุดกับธุรกิจสุดแซ่บ พริกคั่วกรอบ ดราม่าควีน ซึ่งทุกครั้งที่เราได้พบเธอ มักจะคุ้นเคยกับความเป็นคนอารมณ์ดี สบายๆ ไม่ได้ดูเคร่งเครียด ขัดกับงานมากมายที่เธอรับผิดชอบ แถมยังมีเวลาให้กับเพื่อนๆ และโดยเฉพาะครอบครัวอย่างเต็มที่นี่จึงเป็นที่มาของการบุกไปเยี่ยมบ้านของเธอ ในคอลัมน์ Celebrity in Focus กับ ‘คุณอุ๊ – จุฬาลักษณ์ ผลภิภม’
บ้าน
“ถ้าฝรั่งเขาจะตอบว่า Home Is Where The Heart Is ซึ่งเราคิดแบบนั้นเหมือนกัน บ้านสำหรับเราคือที่ที่หัวใจของเราอยู่จริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ที่สำหรับอาศัยอยู่อย่างเดียว เราพูดในฐานะคนรักบ้านนะ เราเป็นคนชอบดูแลบ้าน แต่งบ้าน ของในบ้านขยับนิดนึงเราก็รู้ เราใส่ใจในรายละเอียดของบ้านเรา ทุกๆ สิ่งอย่างมันเป็นองค์ประกอบเล็กๆ ที่พอรวมกันทำให้ที่นี่เป็นบ้านขึ้นมา”
“สำหรับบ้านหลังนี้ เราย้ายเข้ามาตอนวันเกิดมิก้าครบ 2 ขวบ ซึ่งตอนนี้ 3 ขวบนิดๆ ก็อยู่มาได้ประมาณปีกว่าๆ ค่ะ ตอนออกแบบบ้านอุ๊มีส่วนร่วมเยอะเหมือนกัน เพราะอยากให้ทุกอย่างออกมาเป็นความชอบของเรามากที่สุด เดิมทีตอนซื้อบ้านตรงนี้เป็นสองหลังติดกัน เราก็มารีโนเวทใหม่ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนานประมาณ 4 ปีได้ ก่อนแต่งงานอีกค่ะ เราก็ทำกันมาเรื่อยๆ”
มุมโปรดภายในบ้าน
“ตรงนี้ค่ะ (ห้องรับแขกหน้าบ้าน) ตอนแรกมีลีฟวิ่งรูมอยู่ชั้น 3 แต่ตอนนี้กลายเป็นห้องเรียนมิก้าไปแล้ว (ยิ้ม) เหตุผลที่เป็นตรงนี้เพราะว่าใกล้ห้องทานข้าว คือเราเป็นคนชอบทำกับข้าว ชอบทำอาหาร มีเพื่อนมาสังสรรค์บ่อย ส่วนใหญ่จะอยู่ในโซนนี้ หรือห้องอาหาร คือทานข้าวไปเรื่อยๆ ดูทีวี สบายๆ”
ถึงวันที่เราเติบโต ทำงาน แต่งงานมีครอบครัว มุมมองการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไหม
“เปลี่ยนค่ะ สมัยเด็กๆ ตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัทแรก เราเป็นคนที่ เวลาเราทำอะไรเราให้มันเต็มที่ ทำให้มัน 120 เปอร์เซ็นต์ แล้วกลับมาค่อยคิดอีกทีว่ามันจะกลับมาได้ 200 300 400 500 หรือเปล่า หรือกลับมาที่ 20 50 หรือ 0 แต่เราทำเต็มไปก่อน นั่นเป็นเพราะว่าประสบการณ์เรายังมีไม่ชัด เราเป็นคนตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ซึ่งพอเราผ่านมาเรื่อยๆ บริษัทล่าสุด ก่อนที่เราจะทำ เรารู้แล้วว่าสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราทำ มันจะคืออะไร ค่อนข้างรู้มากกว่าสมัยเด็กๆ เยอะ เพราะฉะนั้นพอเราแพลนตรงนี้ปุ๊บเราจะรู้แล้วว่า 1 2 3 4 คิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันคงเหมือนกับการใช้ชีวิตเรา ที่ผ่านๆ มาเราลองถูกลองผิดมาตั้งแต่เด็ก พอเราผ่านมาเรื่อยๆ ปุ๊บ การลองถูกลองผิดจะค่อนข้างน้อยลง เหมือนสมัยเด็กๆ ทำไมเราไม่เชื่อพ่อแม่เรา ทั้งที่จริงๆ เขาผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมา แต่การผ่านตรงนั้นมาของเขา ณ วันเวลาของเขา กับ ณ วันเวลาของเรามันอาจจะไม่เหมือนกัน เราเลยคิดว่ามันไม่ถูกต้อง แต่หลายๆ อย่างจนถึงตอนนี้ เรากลับมาคิดได้ว่าตอนนั้นเขาพูดจากประสบการณ์ของเขาจริงๆ และเขาหวังดีกับเราจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นคำแนะนำบางทีเราควรฟัง และนำมาปรับใช้ให้มันเข้ากับปัจจุบันมากขึ้น พร้อมกับประสบการณ์ที่เราผ่านๆ มาในช่วงของเราเอามาผสมกันแล้วก็ทำต่อไปในมุมมองที่เราคิดว่ามันจะเหมาะที่สุด แล้วก็ทำให้เต็มที่ นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา หรือจะเรียกว่าประสบการณ์ก็ได้นะ”
แบ่งเวลาการทำงานกับการดูแลครอบครัว
“อุ๊เป็นคนค่อนข้างโชคดีที่มีทีมงานน่ารัก และอยู่กันมานาน อย่างน้องกราฟิกอยู่ตั้งแต่วันที่อุ๊รู้จักกับ HISOPARTY ซึ่งประมาณสิบกว่าปีแล้ววันนี้ก็ยังอยู่ หรือผู้จัดการร้าน Button Up กับน้องทีมงานที่ทองหล่อทุกคน อยู่ตั้งแต่เปิดร้านจนถึงวันนี้ ทีมงานทุกคนที่ทำงานกับอุ๊ เราทรีตเขาเป็นเหมือนครอบครัวเรา เขาก็ทรีต Business เราเป็นเหมือน Family Business ของเขาเหมือนกัน ที่สำคัญเราดูแลเขาด้วยใจ ยิ่งตอนนี้ตั้งแต่มีลูก อุ๊แทบไม่ได้เข้าออฟฟิศเลย อย่างมากอาทิตย์ละครั้งสองครั้งต่อบริษัท ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้มันสะดวก เราส่งงานคุยกันทางไลน์ได้ เพราะทุกอย่างมันอยู่ในระบบ ถ้าเราวางระบบทุกอย่างเคลียร์ตั้งแต่ต้น มันจะมีกลไกของมัน ที่ทำให้มันรันได้ต่อ เราจึงแบ่งเวลามาดูแลลูกได้เต็มที่”
ณ วันนี้งานหลักคือการรับส่งลูก
“ใช่ค่ะ รับส่งลูก (ยิ้ม) กิจวัตรประจำวันเราไปส่งลูกเสร็จ เราก็ไปประชุม เคลียร์งาน เซ็นเอกสาร กลับไปรับลูก ทุกวันลูกจะมีกิจกรรม เข้ายิม เรียนบัลเล่ต์ เรียนเปียโน ตอนนี้มีเรียนจีน เรียนไทย ตอนเย็นเขาจะมีกิจกรรมของทุกวัน วันละ 2 กิจกรรมหลังเลิกเรียน เราต้องพาเขาไปทำกิจกรรม เราให้ความสำคัญกับตรงนี้ เราอยากให้ลูกเราได้รับรู้ว่า เราให้ความสำคัญกับทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างที่เขาทำ”
คุณพ่อคุณแม่แบ่งเวลาในการดูแลลูกอย่างไร
“คุยกันตั้งแต่ต้นว่า อุ๊ดูแลลูก แต่ถ้าวันไหนอุ๊ไม่ว่าง พี่แทน (คุณแทนธวัช เรืองศร) ก็ไปรับได้ หรือถ้าอุ๊บินไปคานส์ เพราะว่าแชมเปญเราเป็นสปอนเซอร์ ต้องบินไปคานส์อย่างน้อยปีละครั้ง ไปทีกินเวลาอาทิตย์หนึ่ง คุณพ่อเขาก็จะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ และมิก้าเขาไม่ได้เป็นคนติดใครนะ เขาอยู่กับอุ๊ได้ อยู่กับพี่เลี้ยงได้ อยู่กับพ่อได้ เขาไม่งอแง แต่มีบ้างที่ช่วงไหนเรามีประชุมบ่อยๆ จัดงานบ่อย เขาก็เริ่มพูดแล้ว่า หม่ามี๊ไปประชุมอีกแล้วเหรอ อะไรอย่างนี้ ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกผิดเล็กน้อย”
ณ วันนี้ชีวิตครอบครัวถือว่าลงตัวไหม
“โอเคนะ เราว่าทุกครอบครัวจะมีคาแรคเตอร์ของแต่ละครอบครัว ครอบครัวเราก็มีคาแรคเตอร์อย่างนี้ คนจะชอบมองว่า อุ๊ทำงานเยอะ มีเวลาให้ลูกหรือเปล่า จริงๆ สำหรับอุ๊น่ะลูกมาอันดับหนึ่ง แล้วเดี๋ยวงานเรา ตารางงานเราก็ปรับจากตารางลูก คือให้เวลาลูกเป็นหลักค่ะ”
สไตล์การเลี้ยงลูก
“อุ๊เคารพในความคิดของเขานะ คนจะชอบมองว่าพ่อแม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจทุกอย่างในชีวิตลูก จนถึง 5 – 6 ขวบ หรือจนถึงตอนเขารู้เรื่อง แต่สำหรับอุ๊ ตั้งแต่เขาเด็กๆ แล้ว อุ๊จะคุยกับเขาด้วยเหตุผล แบบนี้อย่างนี้นะ เรามักจะถามเขาก่อนว่า อันนี้โอเคไหม แม้เราอยากให้เขาเลือกในกรอบ แต่เราก็ต้องให้เขาเลือก 1 2 3 ซึ่งนั่นคือในกรอบของเรา แต่เขาก็จะคิดว่า 1 2 3 นี้คือสิ่งที่เขาเลือกได้ สรุปง่ายๆ คือให้เขามีสิทธิ์ได้เลือก แต่ก็อยู่ในกรอบของเรา เพราะฉะนั้นเขาจะกล้าคิดกล้าตัดสินใจมากกว่าที่เราจะต้องบอกว่า อันนี้ได้ อันนี้ไม่ได้”
ช่วงเวลาที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว
“ส่วนมากจะช่วงเย็น เขาจะเรียนจันทร์ถึงศุกร์ เรียนห้าโมงครึ่งถึงหนึ่งทุ่ม จากนั้นก็ทานข้าวด้วยกัน พาขึ้นไปอาบน้ำ พาเขาเข้านอน อ่านนิทานให้ฟัง”
กิจกรรมที่ทำร่วมกัน
“บ้านเรายังไม่เชิงไปถึงขนาดเล่นกีฬาด้วยกันเพราะเขายังเด็ก แต่จะมีเดินทางไปเที่ยวทะเลกัน มิก้าเขาชอบทะเลมาก ชอบสัตว์ ชอบกุ้งหอยปูปลาทุกสิ่งอย่าง ไส้เดือนเขาก็ไม่กลัว (หัวเราะ) เล่นทุกอย่าง ไม่เคยกลัวอะไรเลยยกเว้นแมลงสาบ”
ปลูกฝังอย่างไรให้ลูกเป็นคนรักสัตว์
“อุ๊ว่าอุ๊รักสัตว์ พี่แทนก็รักสัตว์ และตอนมิก้าเขาเกิดมาเราก็เปิดหนังสือรูปสัตว์ให้เขาดู ตั้งแต่ออกจากบ้านได้เราก็พาไปโอเชียนเวิลด์ พาไปซาฟารีเวิลด์ เขาได้เห็นสัตว์ตั้งแต่เด็ก แล้วเขาก็ชอบด้วย เด็กบางคนอาจจะไม่ชอบ แต่ด้วยความที่เรารักสัตว์กันทั้งบ้าน จึงเหมือนซึบซับจากเราไปด้วย”
องค์ประกอบที่ทำให้ครอบครัวมีความสุขหรือสมบูรณ์มาจากอะไรบ้าง
“จริงๆ ครอบครัวทุกครอบครัวคงคล้ายๆ ที่เราทำมา ทุกสิ่งอย่างคือกลไกของกันและกัน ว่าเธอคือส่วนนี้ ฉันคือส่วนนี้ ลูกคือส่วนนี้ แม้กระทั่งคนในบ้านทุกคนหรือว่าบ้านของเราทุกอย่างมันคือองค์ประกอบที่ทำให้เกิดครอบครัวตรงนี้ขึ้นมา หากกลไกใดกลไกหนึ่งมันหายไป มันก็คงไม่กลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม ซึ่งถ้าเราพยายามทำให้กลไกตรงนี้มันแข็งแรง ให้มันอยู่กับเรา แล้วโตขึ้นไปได้เรื่อยๆ ก็น่าจะทำให้เราเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะถามว่าแต่ละส่วนสำคัญเท่ากันไหม มันก็คงไม่เท่ากันหรอก เพราะแต่ละหน้าที่มันก็ไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าทุกส่วนมันเป็นส่วนเติมเต็มที่ทำให้อีกองค์ประกอบหนึ่งมันอยู่ได้ เราเหมือนเฟือง ถ้าเกิดเฟืองอันนี้มันหมุนไป แต่อีกอันมันไม่ต่อกันมันก็หมุนไม่ได้ ทุกอย่างมันต้องประกอบกัน จะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพยายามอยู่ฝ่ายเดียว มันก็ไปไม่ได้อยู่ดี”
ความสุข ณ วันนี้ของชีวิตเราคืออะไร?
“สมัยก่อนเราอาจจะอยากนู่นอยากนี่เยอะแยะ เพราะว่าเราเด็ก แต่ปัจจุบันนี้ ความสุขของเรามันง่ายมาก แค่ทุกวันเรากลับบ้าน เรานอนกับลูก แค่นี้เราก็รู้สึกว่ามันเติมเต็มทุกอย่างให้เราแล้ว”
ด.ญ.มัลลิกา เรืองศร
“มิก้าเป็นเด็กที่ค่อนข้างเข้าใจอะไรไม่ยาก เราพาเขาไปเจอโลกข้างนอกเยอะ ไปงาน ไปประชุม เวลาไปประชุมเราพาเขาไปด้วย เขาจะรู้ว่านี่คือการประชุม เขาจะเข้าใจว่า นี่คือสิ่งที่แม่ทำ เขาจะเห็น และเดี๋ยวนี้เริ่มขายของเป็นแล้วนะ เขามีสติ๊กเกอร์มา 10 อัน และมาถามเราว่าหม่ามี๊ซื้อไหม มิก้าซื้อมา 5 บาท แต่มิก้าขายหม่ามี๊ 10 บาท หาเงินเป็นล่ะ (หัวเราะ) เขาจะเห็นจากสิ่งที่เราทำแล้วก็ซึมซับ เราให้เขาซึมซับจากสิ่งที่เราใช้ชีวิต ตั้งแต่มีเขามีหลายอย่างที่เราเปลี่ยน อย่างสมัยก่อนเราขึ้นเครื่องบินเราไม่เคยรู้สึกอะไรเลย เดี๋ยวนี้ไปประชุมนั่งเครื่องบินคนเดียว กลัวแล้ว กลัวเป็นอะไรแล้วใครจะเลี้ยงลูก (หัวเราะ) เขาเป็นสิ่งที่เราห่วง แล้วเราก็อยากเลี้ยงเขาให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ค่ะ