Araya Kanchanapongkula
“...อายุไม่ใช่ตัวแปร อายุเป็นเพียงตัวเลข”
คุณอารยา กาญจนาพงศ์กุล ในวัย 69 ปี
“เราเป็นคนที่ทำงานมาตลอด ไม่เคยหยุด ทุกวันนี้ยังทำงานอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเราก็เป็นคนที่ชอบดูแลตัวเอง ชอบความสวยงาม ชอบแต่งตัว วันไหนได้แต่งตัวสวยๆ หน่อยก็จะมีความสุข (ยิ้ม) แต่ที่สุดแล้วเราต้องรู้จักตัวเอง ต้องหาตัวเองให้เจอ อย่างเราชอบแฟชั่น เราใช้ชีวิตตรงนี้ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน สิ่งนี้มันทำให้เรามีความสุข เหมือนเป็นการตอบแทนตัวเองที่เราทำงานมาทั้งชีวิต ซึ่งความสุขของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน
“อีกอย่างเราเป็นคนชอบเดินทาง จะรู้สึกมีความสุขทุกครั้งเวลาที่จะได้เดินทาง เราชอบทำโน่นทำนี่ ไม่ชอบอยู่เฉยๆ บ่อยครั้งรู้สึกว่าวันหนึ่ง 24 ชั่วโมงไม่พอนะ รู้สึกมีหลายอย่างที่เราทำไม่ทัน ถึงวันนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ เพราะฉะนั้นอายุไม่ใช่ตัวแปร อายุเป็นเพียงตัวเลข ทุกวันนี้ยังไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง พึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด และในทุกๆ วันที่ตื่นขึ้นมา รู้สึกเสมอว่าชีวิตมีอะไรน่าทำอีกเยอะ ถึงแม้เวลาเจอปัญหา ซึ่งเราเจอเยอะแยะนะคะ (ยิ้ม) แต่เราพยายามคิด พยายามแก้ไขไป เพราะมนุษย์ทุกคนเจอหมด ไม่ใช่แค่เราเพียงคนเดียว ฉะนั้นเวลาเจอปัญหา จะพยายามตั้งสติ และทำใจยอมรับ เหมือนการเรียนรู้และยอมรับ จะไม่ไปเสียเวลานั่งทุกข์ เวลามันย้อนกลับมาไม่ได้ เวลาเราไม่ได้เหลือเยอะ คิดแบบนี้เสมอ อยากทำอะไรจะรีบทำค่ะ
“มีอีกสิ่งหนึ่งที่เรายึดถือในการใช้ชีวิตเสมอคือ คนเราต้องมีความหวัง ต้องมีเป้าหมาย ถ้าเราไม่มีเป้าหมายเราจะเดินไปไม่ถึงไหน เพราะไม่มีอะไรจูงใจให้เราไปต่อ ตอนเด็กๆ เราเคยซื้อรูปๆ หนึ่ง ในรูปนั้นจะเป็นภาพวิว และมีคติพจน์เขียนไว้ ซึ่งเราจำขึ้นใจเลยว่า คนเราจะต้องมีเป้าในชีวิตนะ เราอยากทำอะไร ต้องไปให้ถึงเป้านั้นให้ได้นะ เราต้องมีความอดทน พยายาม จนทุกวันนี้ยังมีคติพจน์อันนี้อยู่ในใจตลอดเวลา บางทีเราท้อเราเหนื่อย โอเค เดี๋ยวมันจะผ่านไป แล้วเราก็ตั้งต้นใหม่ ดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความคิดเราน่ะสำคัญที่สุด”
“ณ วันนี้ อายุ 69 มีคนพูดกับเราเยอะแยะว่า ทำไมยังแต่งตัวอยู่ ทำไมยังทำงานอยู่ เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เราแฮปปี้ คนเรามันคิดไม่เหมือนกัน สมมุติอนาคตลูกเขาไม่เลี้ยงเราขึ้นมา เราจะทำอย่างไร แต่เราต้องมีชีวิตต่อไป พูดตรงๆ อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราอย่าไปคาดหวัง เพราะว่าคาดหวังเมื่อไรเราจะทุกข์ เราเป็นคนไม่เคยคาดหวังอะไรจากใครเลย พยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด
“ความสุขของเรา ณ วันนี้ คือเราได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่เราอยากทำหมดแล้ว ต่อไปนี้ที่เหลือเราก็ให้กำไรชีวิตตัวเองมากขึ้น รักตัวเองให้มากๆ แค่นั้น”
Vinij Lertratanachai
“เรื่องที่ผมคิดจะทำ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะทำไม่ได้”
คุณวินิจ เลิศรัตนชัย ในวัย 57 ปี
“สำหรับผมในแต่ละช่วงวัยได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เสมอนะครับ ได้ทดลองงานใหม่ ได้พบเพื่อนใหม่ ได้เจอสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ได้เรียนรู้ปัญหาใหม่ๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันก็ทำให้เราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ละเอียดอ่อนขึ้นเรื่อยๆ แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าท่ามกลางอะไรต่างๆ ที่มันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในชีวิตผม สิ่งสำคัญที่สุด คือผมจะอยู่ในจุดเดิมเสมอ มีความเป็นตัวตนของตัวเราเอง ตัวตนของผมเองก็คือผมเป็นคนเรียบง่าย กินง่ายอยู่ง่าย คบเพื่อนง่ายๆ และไม่ได้เป็นคน Complicate ยุ่งยากซับซ้อนวางตัวหรือว่าเข้าหาเราลำบาก ผมยังเป็นธรรมชาติเหมือนเดิม
“มอตโต้หลักๆ ของผมที่ผมยึดถือมาตลอด คือเรื่องที่ผมคิดจะทำ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะทำไม่ได้ ผมจะคิดอย่างนี้ก่อน เรื่องที่ผมคิดจะทำผมจะต้องคิดว่าผมทำได้ ผมไม่เคยคิดว่าผมทำไม่ได้ ผมจะต้องทำให้ได้ และจะทดลองทำไปเรื่อยๆ ซึ่งพอทำไม่ได้จริงๆ สมมติว่าตั้งใจทำแล้ว ถึงจุดหนึ่ง ทำไม่ได้มันมีครับ ทำแล้วทำไม่ได้ ก็ต้องยอมถอย ยอมรับความจริงว่าทำไม่ได้ แต่ในระหว่างทางที่เริ่มคิดจะทำไปแล้วมันจะทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เสมอ บางทีไม่จำเป็นจะต้องใช้กับงานที่เราทำไม่ได้ แต่มันอาจจะไปใช้ในงานอื่นๆ ก็ได้
“ผมมองว่าในความล้มเหลวของบางอย่างมันจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น มันเป็นการทดลอง ผมชอบทดลองทำ ผมคิดว่าเราต้องไปให้สุด ยานอวกาศเขายังขึ้นไปกันมาได้เลยมันเป็นเรื่องยากจะตาย แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องง่ายมากถ้าเราคิดว่าเราอยากจะทำ เราใช้เวลากับมันหน่อย แม้บางครั้งอาจจะสิ้นเปลืองกับมันหน่อย แต่ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ มันต้องทำได้แน่ สมมติในการทำงานออร์แกไนซ์งานหนึ่งเราคิดว่าเราจะไปทำเวทีกลางน้ำขนาดใหญ่ บางคนบอกมันยุ่งยาก มาทำบนบกเถอะ ผมบอกไม่ได้ เราต้องไปทำในน้ำ มันทำได้ (หัวเราะ) ลูกน้องผมทุกคน บอกเฮียใจเย็น ไม่ค่อยมีใครคิดเห็นด้วยกับเราในงานที่เราเริ่มคิดหลายๆ ครั้ง แต่ถ้าผมจะทำให้เขาเชื่อ ผมก็ทำให้ดู ทดลองให้ดู เริ่มคิดให้ดู แล้วเริ่มให้ขบวนการคิด หรือแนะนำให้เขาไปในช่องทางที่มันมีความเป็นไปได้จากง่ายๆ แล้วไปสู่ยากๆ ท้ายสุดก็ทำได้กันมาหมด
“ผมเป็นคนอ่านหนังสือเป็นประจำครับ ผมอ่านหนังสือจากง่ายๆ ไปถึงยากๆ เป็นคนไม่ชอบอ่านงานในโทรศัพท์ ทุกเสาร์อาทิตย์ต้องอ่านหนังสือ ทุกวันจะอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านนิตยสาร อ่านมติชนสุดสัปดาห์ พ็อกเก็ตบุ๊คผมก็อ่าน ของวงศ์ทนงบ้าง ของหนุ่มเมืองจันท์บ้าง แนวๆ นี้ พอเราอ่านหนังสืออะไรหลายๆ อย่าง เราก็รู้สึกว่ามันสนุก มันมีจินตนาการที่ทำให้เราไปกับมันได้ อีกอย่างมันสามารถสร้างความคิดใหม่ๆ ให้กับเราได้ หนังผมก็ดู ผมดูหนังเป็นประจำ ซูเปอร์ฮีโร่ผมเลือกดูเป็นบางเรื่อง อย่าง Avengers ผมไม่ดู เพราะว่าผมว่ามันเกินจริงเกินไป ผมจะดูที่มันกึ่งๆ Realistic หมายถึงว่ามันมีความเป็นไปได้ อย่าง Transformers มันมีความเป็นไปได้จริง จากรถมันแปลงสภาพได้ แต่ถ้าอะไรที่เกินจริงนอกโลกมากๆ ผมจะไม่ค่อยดู ผมชอบแบบแบทแมนมันยังจับต้องได้ Back To The Future มันเป็นโลกอนาคตที่มันมีเหตุและผล ซึ่งมันมีความเป็นไปได้ แนวนี้จะชอบ ส่วนเรื่องฟังเพลง แน่นอนผมฟังเพลงทุกชนิด ทุกอย่าง ผมฟังแม้กระทั่งลูกทุ่ง คลาสสิกก็ฟัง รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างก็ฟัง ฟังเพลงจีน เพลงแขก เพลงมองโกเลีย ทุกประเทศที่ผมเดินทางไปผมจะซื้อเพลงประจำถิ่น เพลงของท้องถิ่นเสมอเขากลับมาเสมอ รู้ไหมว่าเมื่อประมาณสัก 30 ปีที่แล้วผมไปมองโกเลีย สมัยที่สนามบินอูลานบาตอร์ยังไม่มีเครื่องสแกนอะไรเลย คือนานมาก ก่อนกลับผมได้ซื้อเพลงมองโกเลียมาแผ่นหนึ่ง ซีดีแผ่นนั้นผมฟังมานาน เพลงความยาวสักประมาณ 25 นาที มีอยู่ 2 เพลงเอง ฟังมาเป็น 10 – 20 ปีแล้ว และผมเพิ่งมาได้ยินแถวๆ เยาวราช ที่เขาเปิดกันเป็นเพลงสวดมนต์ มันเป็นเพลง Repeat ซ้ำไปเรื่อย ซึ่งผมรู้จักเพลงนี้มาตั้ง 20 กว่าปี แต่ตอนนี้ที่เยาวราชเขาเปิดเป็นเพลงสวดมนต์ และมีแผ่นเพลงขาย มันก็เป็นอะไรที่แปลกดี ด้วยความที่เราเปิดกว้างกับทุกอย่าง ไม่ตีกรอบ ทำให้เราได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ
“ความสุขวันนี้ ผมว่าผมได้ทำทุกเรื่องมาหมดแล้ว ทั้งสิ่งที่อยากทำรวมถึงที่ไม่เคยอยากจะทำก็ทำมาหมด (ยิ้ม) ฉะนั้น ณ วันนี้การที่ผมได้ทำอะไรใหม่ๆ อีกวันหนึ่ง ทำเรื่องใหม่ๆ อีกเรื่องหนึ่ง ก็เหมือนมีกำไรชีวิตบวกขึ้นไปเรื่อยๆ ผมว่าถึงวันนี้ถ้าชีวิตมันจะสิ้นสุด ทุกอย่างผมทำมาหมดแล้ว ทดลองมาหมดแล้ว ได้เรียนรู้มาหมดแล้ว ได้มีความสุขที่สุด แย่ที่สุด ดังนั้นจากนี้ไป ถือเป็นกำไรไปเรื่อยๆ ครับ
“ถ้าจะบอกว่าผมมองโลกในแง่ที่เรียกว่าแง่ดีก็คงไม่ใช่ ผมมองโลกในแง่ที่สมดุล ทุกๆ ครั้งที่จะมอง ผมจะมองสองด้าน น้ำหนักมันจะไปพร้อมๆ กันเสมอ เราต้องคิดว่าทุกอย่างเป็นไปตามอย่างที่เราวาดหวังไม่ได้แน่ แต่ก็ใช่ว่ามันจะมีแต่ความผิดหวังเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ว่าอย่างไรทุกอย่างมันก็ต้องเป็นไป อยู่ที่เราทำใจ รับได้หรือไม่ได้ ผลการที่เราคิดเราตัดสินใจ ก่อนจะถึงเวลานั้นเรามีกระบวนการตริตรองจากประสบการณ์ ซึ่งประสบการณ์เป็นตัวที่ช่วยในการกลั่นกรองเรื่องใหม่ๆ ที่เราจะคิดเสมอ ผมว่าพอเรามีประสบการณ์เยอะ ก็เหมือนเป็นนักบินที่มีชั่วโมงบินมากๆ จะเข้าใจว่าสภาพอากาศแบบนี้ว่ามันควรจะต้องทำอย่างไร สภาพปัญหาที่มันจะเกิดตรงนี้มันจะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบไหนเพื่อให้มันดำเนินไปด้วยดี และ Safety ที่สุด ซึ่งตรงนี้ประสบการณ์น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเราได้มากที่สุดครับ”
Pranapda Phornprapha
“แพมเชื่อว่า Perfectly Imperfect คือเราเพอร์เฟคจากการที่เราไม่เพอร์เฟค”
คุณประนัปดา พรประภา ในวัย 42 ปี
“ปีที่แล้วแพมย้ายไปอยู่นิวยอร์กทั้งปี ทำให้มีเวลาได้อยู่กับตัวเอง ได้ถามตัวเองว่าความต้องการหรือจุดประสงค์ของเราจริงๆ คืออะไร หนึ่งปีที่เราได้เบรคจากการทำงานไป ทำให้เรามีเวลาทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง และมีเวลาสังเกตผู้คนมากขึ้น ที่สำคัญแพมได้มีโอกาสเข้าร่วมกับ Women in the World Summit และรู้สึกว่าทำไมเมืองไทย หรือเอเชียเอง ไม่ได้มีอะไรแบบนี้ ทั้งที่เอเชียเป็นที่ที่ ต้องการสิ่งเหล่านี้มากที่สุดตอนแรกแพมไปติดต่อเขาจะนำสิ่งนี้มาทำที่เมืองไทยดีมั้ย แต่พอไปนั่งคิดไปคิดมา จึงคิดได้ว่าเราทำเองดีกว่า นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งของที่มาในการทำโปรเจ็คท์ใหม่เกี่ยวกับการ Support และ Empower ผู้หญิงด้วยกันเอง โดยใช้เซเลบริตี้มาพูดให้พลังกับผู้หญิงว่าทุกคน มีศักยภาพ และให้เขาได้เห็นถึงคุณค่าของตัวเอง คือ ทุกวันนี้ผู้หญิงเก่งมีเยอะมาก และผู้หญิงไม่ได้มีหน้าที่แค่เป็นคุณแม่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน แต่ทุกคนมีความสามารถเป็นผู้นำได้ แพมมองว่าผู้หญิงเราเก่ง แล้วทำไมจะต้องกลัว เราสามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ เราจึงทำเป็นแพล็ทฟอร์มที่จะผลักดันให้ผู้หญิงตรงนี้มารวมกัน ซึ่งแพมมีความเชื่อว่าคนเราพอทำสิ่งที่ควรจะทำในโลกใบนี้ ทุกอย่างมันเดินง่ายมาก และมันก็จริง เพราะพอแพมเริ่มที่จะทำก็มีคนเข้ามาร่วมด้วยมากมาย แล้วทุกอย่างมันก็ดำเนินไปใหญ่กว่าจุดประสงค์ที่เราคิดไว้ สิ่งเหล่านี้มันเป็นการทำเพื่อสังคม ไม่มีใครทำเพื่อตัวเอง ทุกคนที่เข้ามาทำงานตรงนี้เพราะอยากจะเปลี่ยนโลกให้เป็นที่ที่ดีสำหรับผู้หญิงค่ะ
“สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้ในวัยนี้คือ ประสบการณ์มันทำให้เรารู้ว่า อะไรที่เราเปลี่ยนได้ อะไรที่เราเปลี่ยนไม่ได้ เช่นเราเปลี่ยนคนอื่นยาก แต่เราเปลี่ยนตัวเราได้ ยิ่งการมีลูกเป็นอะไรที่เปลี่ยนแพม และสอนแพมได้มากที่สุด เขาเป็นคนที่มีความคิดค่อนข้าง Advance ซึ่งเราจะรู้ว่าเราเปลี่ยนอะไรเขาได้ เราเปลี่ยนอะไรเขาไม่ได้ เราจึงต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเขา ทำแบบอย่างที่ดีให้เขาดู เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนที่เรารัก เพื่อเขาจะได้เลือกสิ่งดีๆ จากเราไป
“คำสอนที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณพ่อ คือคำว่า Nobody is Perfect ซึ่งแพมเชื่อว่า Perfectly Imperfect คือเราเพอร์เฟคจากการที่เราไม่เพอร์เฟค ถ้าเกิดเรามองคนได้อย่างนี้ด้วย เราจะมีความ Forgiveness มากขึ้น ส่วนตัวแพมเป็นคนที่ Accepting กับทุกคน ยอมรับทุกคนค่อนข้างง่าย ตรงจุดนี้อาจเพราะเราโดนเลี้ยงมา เราอยู่กับการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เด็กคือ แพมย้ายไปแคนาดาตอน 6 ขวบ พอกลับมาเมืองไทย ก็ถูกส่งไปเรียน Boarding School ทุกสี่ปีต้องย้ายที่ ฉะนั้นแพมจะมีการปรับตัว และการยอมรับในทุกคน พูดได้ว่าวางแพมไว้ที่ไหน แพมสามารถที่จะอยู่รอดได้ นี่คงเป็นข้อดีที่เราได้เจอคนเยอะ ทำให้แพมเป็นคนค่อนข้างมีความคิดที่ฟรีมายด์
“ณ วันนี้ ความสุขของแพม เป็นความสุขที่ง่ายมากเลย คือการมีเวลาให้กับตัวเอง ให้กับคนที่เรารักรอบๆ ตัว เป็นอะไรที่ ง่ายๆ ในชีวิตมากๆ แค่ได้หัวเราะ ได้ทำอาหาร หรือนอนกอดกัน ก็ทำให้เรามีความสุข จะเอาอะไรมากกว่านี้ เราไม่ต้องไปไขว้คว้าอะไรห่างตัวเลย การที่อยู่ในปัจจุบัน ณ ตอนนั้น กับคนที่เรารัก นั่นคือความสุขที่สุด มันคือ Quality Time”
SONYA SINGHA
“ถ้าเราไม่ลิมิตตัวเอง ไลฟ์มันอันลิมิตจริงๆ”
คุณซอนญ่า สิงหะ ในวัย 25 ปี
“ตอนนี้แคทรับงานแฟชั่นมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าเป็นตัวตนของเราจริงๆ แคทรู้สึกว่าวันนี้ในอายุ 25 ปี แคทมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เหมือนเรารู้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไรกับชีวิต ทำให้กำหนดทิศทางได้ง่ายขึ้น เมื่อก่อนเราอาจจะคิดแค่ว่าทำงานโดยที่ไม่เคยถามตัวเองว่า ทำแล้ว Appreciate หรือมี Passionate กับสิ่งที่ทำจริงๆ หรือเปล่า ตอนนั้นทำงานเพราะเป็นหน้าที่ ยังเด็ก ไม่ได้ตกผลึกอะไรมากมาย อาจจะเป็นเพราะเมื่อก่อนเราไม่ได้รู้จักตัวเองดีเท่าวันนี้ เราโตมาจากการทำอะไรตามๆ คนอื่น อยู่ในสังคมที่กลมกลืนกันไปหมด อะไรที่เขาฮิต อะไรที่เขาว่าดี อะไรที่เขาว่าสวย เราก็เบนตัวเองตามเขาไปหมด แต่พอวันนี้เราไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร หันมาโฟกัสที่ตัวเอง ถามใจตัวเอง สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ตัวเองชอบ บวกกับสิ่งที่ตั้งใจทำ ทำแล้วมีความสุข ผลงานก็ออกมาดีหมดทุกชิ้นเลยค่ะ”
“แคทคิดว่า สิ่งที่ทำให้เปลี่ยนความคิด หรือตกผลึกทางความคิด น่าจะเป็นช่วงพักการทำงานไป ไม่ค่อยรับงาน ทำให้เราได้เจอตัวเอง ได้คิดทบทวนว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นมันใช่ตัวเรา หรือสิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่อยากทำจริงๆ หรือเปล่า แล้วถ้าคิดจะกลับมาต้องไม่เหมือนเดิม มันต้องบียอนด์ หมายถึง ต้องทำอะไรที่มีความสุขจริงๆ จากที่เคยทำงานเพราะองค์ประกอบรอบด้าน ทั้งเรื่องของรายได้ ความพึงพอใจของคนอื่น จนลืมมองความรู้สึกตัวเอง พอได้มีเวลามานั่งทบทวน ทำให้เราตัดสิ่งเหล่านั้นออกไป ทุกอย่างคือความสบายใจ Once in a Life เราก็จะไม่ regret เลยว่าเรามีโอกาสได้ทำ แล้วมันก็จะกลายเป็นความภาคภูมิใจของเราค่ะ”
“หลังจากที่หายไปแล้วกลับมา แคทได้รับโอกาสมากมาย ได้มิตรภาพดีๆ ได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำงานที่ตัวเองจะได้ทำ ถ้าเราไม่ลิมิตตัวเอง ไลฟ์มันอันลิมิตจริงๆ มันเหลือเชื่อมาก พอทำด้วยใจทุกอย่างก็เข้ามาเอง ความสุขคือตัวแปรที่แท้จริง ความสุขทำให้เราก้าวหน้าขึ้นได้อย่างชัดเจนมากๆ”
“สิ่งที่แคทได้เรียนรู้คือ ถ้าเราจะพัฒนาหรือเติบโตขึ้น เราต้องรักตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อว่าเราทำอะไรก็ได้ แล้วปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้นจริงๆ เหมือนกับว่าจักรวาลส่งมาให้ ถ้าใจเราอยากได้มากพอ ชื่นชอบมากพอ ทุกอย่างก็จะเป็นไปได้หมด เมื่อไหร่ที่คุณรักตัวเอง คนอื่นจะรักคุณไปด้วย อย่างที่บอกทำอะไรด้วยใจทุกคนสัมผัสได้ แล้วเขาก็จะรักคุณโดยที่คุณไม่ต้องพยายาม แล้วเมื่อไหร่ที่คุณหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น คุณจะไปได้ไกลมากๆ รายละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของแคท ทั้งดี หรือไม่ดี ตั้งแต่เด็กจนโต อายุ ประสบการณ์ และวุฒิภาวะ มันหล่อหลอมให้แคทเป็นคนๆ นี้ ฉะนั้น วันนี้ถ้าผลงานที่ออกไปคนจะชื่นชอบ หรือจะมีชื่อเสียง ก็ต้องในฐานะ The Real ซอนญ่า ค่ะ
“ถ้าถามถึงกิจกรรมที่ชอบ แคทชอบขี่เจ็ทสกีค่ะ เพราะแคทชอบความเร็ว แล้วเวลาขี่เจ็ทสกีบรรยากาศจะค่อนข้างเงียบ มันเป็นโมเมนต์ที่แคทจะได้อยู่กับตัวเอง ได้ใช้เวลากับตัวเอง รีเฟรชตัวเอง ซึ่งแคทก็มีความสุข และสัมผัสได้ถึงคุณค่าในตัวเองค่ะ”
“เมื่อไหร่ที่เราหันมาโฟกัสตัวเอง ซื่อสัตย์กับตัวเอง ชอบตัวเอง เลือกใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบ มี Passionate กับงาน เราก็จะตั้งหน้าตั้งตารอการทำงานทุกชิ้น เพราะทำแล้วสนุก มีความสุขทุกวินาที ฉะนั้น ทุกวันนี้ การตัดสินใจในการเลือกรับงานของแคทก็จะเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เวลาทำก็สบายใจมากขึ้น ซึ่งนี่ก็คือความสุขของแคทในวันนี้ค่ะ”
Author By : Arunlak