จะว่าไป ตุรกีนี่มีครบทุกรสชาติเหมือนกันนะ มีทั้งเมืองเจ้าเสน่ห์อย่างอิสตันบุลมีทั้งเมืองริมทะเลสวยๆ อย่างบอดรัมและอันตาลายา และมีมุมเอ็กซ์โซติกอย่างเมาท์ เนมรุท แต่ถ้าเป็นฮอตสปอตที่คนมาตุรกีทุกคนอยากเห็นแล้วล่ะก็ต้องเป็น คัปปาโดเกีย (Cappadocia)
แหล่งท่องเที่ยวที่จัดว่าเป็น Natural Wonder ทำให้ตุรกีหัวบันไดไม่แห้ง ยิ่งโลกโซเชียลพากันเผยแพร่ภาพของธรรมชาติอันแปลกตาของคัปปาโดเกีย ยิ่งทำให้นักเดินทางปักหมุดที่นี่ไว้
คัปปาโดเกียกินพื้นที่กว้างมาก เอาเป็นว่าใครยังไม่รู้จะไปตั้งต้นตรงไหน ให้ไปตั้งหลักที่เมืองเกอเรเม (Goreme) ก่อนเกอเรเมเป็นเมืองศูนย์กลางสำหรับนักเดินทางที่มาคัปปาโดเกียที่นี่จึงมีทุกสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการ กลางเมืองมีทัวริสต์อินฟอร์เมชั่น เซ็นเตอร์มีรูปภาพของเรือนพักตั้งแต่ไร้ดาวและมีดาวทั่วทั้งเกอเรเมติดให้ดูทุกแห่ง หากใครไม่ได้จับจองที่พักมาก่อนก็สามารถเลือกจากที่นี่ได้แล้วบอกเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เขาจะโทรไปเช็คว่าห้องว่างมั้ยราคาเท่านี้โอเคมั้ย ถ้าลงตัวก็นั่งรอเดี๋ยวทางโรงแรมจะส่งรถมารับใน 5 นาที เพราะเกอเรเมเป็นเมืองเล็กมาก
แต่แนะนำให้จับจองมาดีกว่านอนในโรงแรมที่เป็นบ้านถ้ำจะได้มู้ดที่ดีมาก โรงแรมที่นี่ส่วนใหญ่จะพ่วงคำว่า cave อยู่ในชื่อโรงแรมด้วย จะได้รู้ว่านอนในโรงแรมแบบถ้ำแน่นอนถ้าอยากได้วิวสวยๆ ลองไปที่โรงแรม Sultan Cave Suites ที่นี่คือที่พักที่ตกแต่งโดยนำวัสดุของตกแต่งจากคัปปาโดเกียแท้ๆ มาใช้และมีของใช้ของสุลต่านประดับประดาด้วยห้องมีไม่กี่ห้อง แต่ละห้องตกแต่งไม่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ วิวดีและลักชูรี่มาก
หากเป็นนักท่องเที่ยวที่มากับทัวร์ หรือซื้อทัวร์แบบ 3 วัน 2 คืนมาจากอิสตันบูล ส่วนใหญ่พวกทัวร์จะพาไปนอนที่เมืองอื่น แต่ยังอยู่ในอาณาบริเวณของคัปปาโดเกีย เช่นเมืองอูร์กุป (Urgup) เมืองเกย์เซอรี(Kayseri) เมืองเนฟเชฮีร์(Nevsehir)
กฎสองข้อของคัปปาโดเกียคือ อย่ารีบมารีบไป วันเดียวเที่ยวคัปปาโดเกียไม่ทั่ว ต้องมีอย่างน้อย 2 วัน หรือใครอยากสนิทสนมกับคัปปาโดเกียคงต้องอยู่เป็นอาทิตย์ เพราะคัปปาโดเกียกว้างมากอีกข้อหนึ่งคือ หากคุณเป็นพวกรังเกียจแสงแดด เป็นศัตรูกับยูวี หรือเกลียดฝ้าเหนือสิ่งอื่นใด คุณจะเที่ยวคัปปาโดเกียอย่างไม่มีความสุขเท่าไหร่ เพราะที่นี่เป็นแดดไม่ธรรมดา แต่เป็นแดดที่แรงจัดจ้านเผ็ดร้อน แดดเพชฌฆาตหน้าพัง มาที่นี่ขอให้โบกครีมกันแดดมาหนาๆ หมวก แว่น เตรียมรับมือให้ดีเชียว
เอาเป็นว่าลองเริ่มจากที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม (Goreme Museum) กันก่อน ที่นี่มีโบสถ์ถ้ำตั้งเรียงรายอยู่หลายแห่ง ไกด์บุ๊คบางเล่มบอกว่า มีโบสถ์ที่ข้างในเป็นถ้ำถึง 365 แห่ง เพราะคนที่นี่เขาสร้างโบสถ์ตามจำนวนวัน
มองจากข้างนอกคงไม่มีใครเชื่อว่าด้านใน จะเต็มด้วยภาพเขียนสีตามผนังและเพดานเอาไว้อย่างสวยสดงดงาม โบสถ์เด่นๆ ที่คัปปาโดเกียภูมิใจนำเสนอก็เป็น โบสถ์คาริกลีที่มีภาพวาดเกี่ยวกับพระเยซู โบสถ์บัคเคิลที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่10 โบสถ์เซนต์บาร์บาราที่เป็นโบสถ์ยุคแรกๆ ที่มีภาพเขียนแบบเฟรสโกโทนแดงอันงดงามแต่ผนังและเพดานของโบสถ์บางแห่งก็ถลอกปอกเปิดเกือบหมดแล้ว
ในยุคที่ศาสนาคริสต์รุ่งเรืองสุดขีด แถบนี้จึงมีโบสถ์ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด โดยการขุดและเจาะภูเขาหิน ทำด้านในให้เป็นโบสถ์เพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์ พอขุดเป็นโพรงได้คราวนี้ก็ลงมือตกแต่งภายในด้วยเนรมิตภาพเขียนสี วาดและขีดเขียนโบสถ์ถ้ำให้สวยงามไม่ต่างจากโบสถ์ทั่วๆ ไป เที่ยวโบสถ์ถ้ำเสร็จ ห่างจากตัวเมืองเกอเรเมไปไม่ไกลมีหมู่บ้านอวานอส (Avanos) หมู่บ้านที่มีชื่อชั้นพวกเครื่องปั้นดินเผาและงานเซรามิก แทบทุกร้านมีผลผลิตจากงานปั้นวางขายหน้าบ้าน แต่ในบ้านมีโชว์ปั้นหม้อทุกบ้าน
อวานอสเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีแม่น้ำไหลผ่าน แต่เป็นแม่น้ำที่มีดินตะกอนแดง ชาวบ้านเลยนำดินมาลองปั้นใช้เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอยในบ้าน ต่อมาไม่ได้หยุดอยู่แค่ถ้วยชามรามไห แต่ปั้นโอ่ง ไห แจกัน และเครื่องประดับบ้านขายกันเป็นเรื่องเป็นราว
ออกจากอวานอส ไปกันที่เมืองอุชหิซาร์ (Uchisar) เมืองที่ภาพของภูเขาขนาดใหญ่แต่มีรูพรุนไปเกือบทั่วภูเขา ลักษณะจึงเป็นจอมปลวกหรือรวงผึ้งอะไรแนวนั้น รอบๆ จอมปลวกขนาดใหญ่ก็มีหินรูปกรวยคว่ำ รูปกระโจม ตั้งกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
ภูเขาสูงที่เห็นนั้น คนที่นี่เขาเรียกปราสาทอุชหิซาร์ สมัยก่อนมีไว้เป็นป้อมปราการเอาไว้สอดส่องพวกข้าศึกที่คอยจ้องจะรุกราน บ้านช่องห้องหับของผู้คนที่นี่ที่สร้างไปตามหินผา บางบ้านก็อยู่ในปล่อง บางครอบครัวอยู่ในถ้ำกรวย บ้านที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีเครื่องซักผ้า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์สุดหรู เขาอยู่ในปล่องแบบนี้กันมานมนานแล้ว
บอกแล้วว่าเที่ยวคัปปาโดเกียต้องวางแผนเที่ยวเป็นโซนๆ ไป และสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงคัปปาโดเกียคือเมืองใต้ดินที่คนสมัยก่อนขุดไว้เพื่อลงไปใช้ชีวิตและหลบภัยยามถูกศัตรูรุกราน ทั่วทั้งคัปปาโดเกียมีเมืองใต้ดินขนาดใหญ่ๆ 10 กว่าแห่ง แต่ถ้านับจุดเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ก็อาจจะขยับเป็นหลักร้อย แต่เมืองใต้ดินที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมหลักๆ ก็มีอยู่ 2-3 แห่ง หนึ่งในนั้นคือเดอริคุยุ (Derikuyu) และที่ไคมักลึ (Kaymakli) นครใต้พิภพแห่งนี้ ที่มีการขุดเจาะพื้นหินลงไปใต้ดิน แบ่งเป็นชั้นต่างๆ ที่ซ่อนห้องหับเอาไว้มากมาย มีทั้งห้องนอน ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่น ห้องเก็บอาหารและเก็บของ ห้องเก็บไวน์ ห้องครัว ห้องประชุม แน่นอนเขาไม่ได้มีแค่ชั้นสองชั้น แต่ลึกเกือบ 100 เมตรแบบนี้ อาจจะมีมากกว่า 10 ชั้นก็ได้
สมัยก่อนชาวคัปปาโดเกียถูกรุกรานอยู่บ่อยๆ เขาเลยลงมือขุดเพื่อหนีภัยสงคราม เวลาข้าศึกมา หน่วยสอดส่องบนป้อมปราการที่อุชหิซาร์จะส่งสัญญาณมาบอก พวกชาวเมืองก็จะมุดลงไปซ่อนตัวในเมืองใต้ดิน พอพวกผู้รุกรานมาถึง ก็ได้ยืนทำหน้างงใส่กัน เพราะเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างที่ไร้เงาผู้คน แล้วเวลาหลบแต่ละที่ เขาไม่ได้มุดใต้ดินแค่วันสองวัน แต่บางทีมุดกันเป็นเดือนเลยก็มี เพราะตุนข้าวปลาอาหารเอาไว้อย่างพร้อมเพรียงแล้ว แถมไม่ได้อยู่กันร้อยสองร้อยคน แต่เขาอยู่กันเป็นหมื่น น่าทึ่งในภูมิปัญญาของคนสมัยก่อน ทั้งที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออันทันสมัย ไม่มีวิศวกรและสถาปนิคมาช่วยคิดค้น แต่ดูสิ เขาเนรมิตเมืองใต้ดินแบบนี้ได้อย่างไรกัน
หากใครยังพอมีเวลา จะแวะเที่ยวเมืองเนฟเชฮีร์ก็ได้ และที่นี่จุดชมวิวประจำเมือง หรือ Panorama View Point ที่อยู่ใกล้กับเมืองอุชหิซาร์ มุมนี้ใครมาคัปปาโดเกียแล้วไม่ขึ้นมาถือว่าพลาดอย่างแรง เพราะจะเป็นโอกาสเดียวที่ฉายภาพให้เห็นเกอเรเมในมุมสูง นอกจากเห็นตัวเมืองเกอเรเมได้ทั้งเมืองแล้ว ยังเห็นลักษณะของธรรมชาติที่เป็นเหมือนแคนยอน คลื่นหิน และหมู่หินรูปทรงแปลกตา ขึ้นมายืนบนนี้แล้วคุณจะรู้สึกว่า ธรรมชาตินี่ช่างมหัศจรรย์เหลือกำลัง
และใครที่ยืนอยู่มุมนี้ ใช้เวลากับภาพที่ปรากฏตรงหน้า แทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือฝีมือของธรรมชาติล้วนๆ หลังจากภูเขาไฟระเบิดขึ้น ก็ได้พ่นเถ้าถ่านและลาวาออกมา พอเย็นตัวลงก็กลายเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ ต่อมาโดนทั้งแดด ลม ฝน หิมะ และสายน้ำ กัดกร่อนทุกเมื่อเชื่อวันนับล้านปี ก็เลยกลายเป็นหินรูปทรงแปลกตา
ย้ำอีกที มาคัปปาโดเกียแล้วอย่ารีบมารีบไป ดื่มด่ำกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติให้ชุ่มปอด ทอดสายตามองความอเมซิ่งที่โรยไว้ทั่วคัปปาโดเกีย ธรรมชาติยังคงยิ่งใหญ่ มีพลัง และอบอุ่นเสมอ เป็นแบบนั้นจริงๆ
Author By : กาญจนา หงษ์ทอง