สำหรับคาร์เทียร์ เวลานั้นหมุนเวียนเป็นวัฏจักร มิใช่เดินเป็นเส้นตรงอย่างที่นำเสนอทั่วไป วิสัยทัศน์นี้จึงเป็นหนึ่งในคำอธิบายว่าทำไมเมซงคอยพัฒนาปรับเปลี่ยนนาฬิกาและรังสรรค์ทั้งดีไซน์และกลไกขึ้นใหม่อย่างไม่รู้จบ เพื่อนำพาผู้ที่หลงใหลในเรือนเวลาไปสู่อนาคต เรือนเวลาของคาร์เทียร์ประสบความสำเร็จจากการเดินทางด้วยพลังแห่งจินตนาการจากอดีตไปสู่อนาคต ตราบเท่าที่วิวัฒนาการยังดำเนินไปไม่สิ้นสุด และในปีนี้คอลเลกชันใหม่ของคาร์เทียร์ได้สะท้อนสิ่งนี้ ผ่านเรือนเวลาที่พรั่งพร้อมทั้งรูปทรงและคาแรกเตอร์ ปรับโฉมใหม่ผ่านการสร้างสรรค์อันทรงคุณค่า
TANK NORMALE
ปีนี้ยกให้เป็น Cartier Privé ซึ่งเป็นผลงานชิ้นที่ 7 ผลงานเดียวที่หลุยส์ คาร์เทียร์เคยรังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1917 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 2 ปีต่อมา กล่าวได้ว่า Tank คือผลงานที่โดดเด่นที่สุดรุ่นหนึ่งของเมซงและอยู่ในทำเนียบสุดยอดมาสเตอร์พีซในประวัติศาสตร์วงการนาฬิกา นอกจากนี้ คาร์เทียร์ยังเนรมิต Tank รุ่น hour/minute ที่หยิบยืมสัดส่วนและหน้าปัดแซฟไฟร์ทรงโดม (beveled) จากเรือนเวลาต้นฉบับ ให้อารมณ์ยุค 70 และยังใส่กลไกสเกเลตัน พร้อมกลไกคอมพลิเคชั่น 24 ชั่วโมง ประดับเครื่องหมายพระอาทิตย์และพระจันทร์เสี้ยว ที่ผลิตเพียง 50 เรือน พร้อมสลักหมายเลขกำกับทุกเรือน ซึ่งสามารถเลือกแบบตัวเรือนและสายหนัง และยังมีแบบสุดท้ายที่ผลิตเพียง 20 เรือน พร้อมการสลักหมายเลขประจำตัว ซึ่งเรือนเวลาเหล่านี้ยังคงมีรหัสด้านดีไซน์ของ Tank รุ่นดั้งเดิมอยู่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเข็มบอกเวลาสีน้ำเงิน เม็ดมะยมคาโบชง และแบบไม่ฝังเพชร ที่จะมาพร้อมเส้นบอกนาทีรูปรางรถไฟและลายเซ็นลับ
TANK AMÉRICAINE
เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1989 โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก Tank Cintrée แต่ขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะเป็นเรือนเวลารุ่นแรกที่มาพร้อมสายแบบปรับความยาวได้ และสอดรับกับหัวบัคเกิลแบบพับได้อันโด่งดัง ซึ่งคาร์เทียร์ได้ยื่นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 1910 และในปีนี้ 2023 สตูดิโอออกแบบของเมซง ได้เน้นย้ำดีไซน์ต้นฉบับและรูปทรงโค้งมนของ Tank Cintrée ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ด้วยการสลักเส้นสายที่ละเอียดยิ่งกว่าเดิม ดูปราดเปรียวดุจนักกายกรรม และรูปทรงได้รับการเน้นให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วยสไตล์ของหน้าปัด และการบูรณาการกรอบข้างตัวเรือนให้เชื่อมกับสายนาฬิกาอย่างไร้ที่ติ โดยกลไกภายในคือ
รุ่น 1899 MC ที่ปรับขนาดให้สอดคล้องกับตัวเรือนที่บางลงซึ่งในรุ่นปี 2023 นี้มีให้เลือกในแบบตัวเรือนและสายทองคำ (all gold) แบบตัวเรือนสตีลสายหนัง ตัวเรือนโรสโกลด์ฝังเพชรสายหนัง ตัวเรือนไวท์โกลด์และโรสโกลด์ฝังเพชร บนสายโลหะที่ออกแบบมาสำหรับ Tank Américaine โดยเฉพาะ ข้อสายขัดเงาทุกด้าน เมื่อแสงตกกระทบจึงเปล่งประกายแวววาว
SANTOS-DUMONT
คาร์เทียร์ยังคงมรดกดั้งเดิมและความภูมิฐานของต้นฉบับปี 1904 ไว้อย่างครบถ้วน โดยผ่านการตีความใหม่ในปี 2019 ในแบบตัวเรือนโกลด์และตัวเรือนสตีล อวดสกรูว์บนตัวเรือน พร้อมเม็ดมะยม beaded crown ทำด้วยคาโบชงสีน้ำเงิน ภายในถูกบรรจุกลไกสเกเลตัน ที่ทุกรายละเอียดเชิงโครงสร้างล้วนรังสรรค์ขึ้นเพื่อคารวะนักบินผู้ยิ่งใหญ่อัลแบร์โต ซานโตส ดูมงต์ กลไกจึงเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และเรื่องราว ประกอบด้วยจานเหวี่ยง (functional oscillating weight) ขนาดจิ๋วรูปเครื่องบิน Demoiselle (เดอมัวแซลล์) อากาศยานรุ่นบุกเบิกที่ซานโตส ดูมงต์ ออกแบบไว้เมื่อปี 1907 ทำให้เรือนเวลายกระดับความภูมิฐานขึ้นอีกขั้น และนอกจากนี้ยังมีรุ่นลิมิเต็ด ตัวเรือนเยลโลว์โกลด์เคลือบแลคเกอร์สีกรมท่า ที่รายละเอียดทุกส่วน รวมถึงขอบหน้าปัด ตัวเรือน และสะพานจักรแบบสเกเลตันยังถูกเคลือบแลคเกอร์ด้วยมืออย่างประณีตอีกด้วย
THE CLASH [UN]LIMITED
ลักษณะเรือนเวลาที่มีกลไกภูมิฐานและงดงามโดดเด่น เป็นจิวเวลรี่วอทช์ที่ผสานชั้นเชิงกับพลังอำนาจด้วยเม็ดมะยม หมุดปิโกต์ คลู คาร์เร (clou carrés) และความยืดหยุ่น พร้อมกระจกเจียระไน 16 เหลี่ยม ที่ขับเน้นเส้นสายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เรือนเวลาเรือนนี้ ทำให้นึกถึงมรดกของฌานน์ ตูแซงต์ (Jeanne Toussaint) รวมถึงการสัมผัสได้ของความรู้สึกแห่งพลังอันแรงกล้าที่จะสร้างการปะทะอันแพรวพราว ระหว่างความล้ำค่ากับสุนทรียะแนวอุตสาหกรรมของลูกปืน ความเชื่อมโยงตามธรรมชาติระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ที่เห็นได้ใน Clash [Un]Limited ใช้ความตัดกันของสีเป็นตัวเน้นแม่แบบเรขาคณิต
ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งในผลงานจิวเวลรี่วอทช์สุดสร้างสรรค์ของเมซง
THE NEW BAIGNOIRE WATCH
Baignoire ได้รับการรังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1912 และผ่านการปรับเปลี่ยนมาหลายครั้ง สำหรับในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนทั้งในแง่ขนาดและการทำงาน การปรับสัดส่วนส่งผลให้ขอบทองเหนือหน้าปัดและตัวเลขโรมันมีขนาดใหญ่กว่าเดิม และคาร์เทียร์ยังนำรูปทรงของหน้าปัดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Baignoire มาใช้กับขอบตัวเรือน เพื่อให้แนบสนิทกับข้อมือ นับเป็นการให้กำเนิดลูกผสมที่ล้ำค่าของนาฬิกากับจิวเวลรี่ พร้อมแนวคิดใหม่ที่เพิ่มความเย้ายวนให้คาแรกเตอร์ของนาฬิกาที่รับประกันความใส่สบายด้วยตัวเรือนโค้งมน ซึ่งนับเป็นเรือนเวลาสำคัญที่ขาดไม่ได้ ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการออกแบบของคาร์เทียร์ ที่สามารถนำไปใส่คู่ผลงานระดับไอคอนชิ้นอื่นๆ ของเมซง สลับสับเปลี่ยนได้ไม่รู้จบ ด้วยขนาดที่บอบบาง ดูมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวบนสายหนังสีดำเคลือบเงา ความเป็นกูตูร์และอาจรวมถึงความประณีตยิ่งกว่าเดิม ทำให้เรือนเวลารุ่นนี้แสดงความโดดเด่นเฉพาะตัวอย่างแม่นยำไม่ต่างจากเดิม ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยยังคงไว้ซึ่งตัวตนที่แท้จริง
LA PANTHÈRE DE CARTIER
เสือแพนเตอร์สัญลักษณ์ของคาร์เทียร์สร้างเสน่ห์ดุดันให้จิวเวลรี่วอทช์รุ่นล่าสุดของคาร์เทียร์ โดยที่กรามของเสือขบหน้าปัดเคลือบแลคเกอร์ สีดำสีเดียวกับลายจุดที่สร้างชื่อให้สัตว์สัญลักษณ์ของเมซง ความดุดันและสัญชาตญาณแห่งป่าทำให้เรือนเวลารุ่นนี้เป็นน้องใหม่ที่เปี่ยมด้วยชั้นเชิงในคอลเลกชันล้ำค่า La Panthère และเป็นผลงานชิ้นเอกที่ได้ความสง่างามมีชีวิตชีวาจากความเชี่ยวชาญการทำเครื่องประดับ การตกแต่งขั้นสุดท้ายด้วยมือ การสร้างลายจุดด้วยงานแลคเกอร์และขัดเงา รวมทั้งการทำเซ็ตติ้ง ความท้าทายและความเข้มแข็งที่ฉายชัดสื่อถึงคาแรกเตอร์ที่แข็งแกร่งของนาฬิกาประดัประติมากรรมหัวเสือแพนเตอร์ที่ออกแบบมาให้ทุกส่วนเป็นสามมิติ ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนเยลโลว์โกลด์หรือโรสโกลด์แต้มแลคเกอร์สีดำ ฝังพลอยซาโวไรต์ที่ดวงตา หรือตัวเรือนไวท์โกลด์ฝังเพชรและฝังมรกตที่ดวงตา ก็มีเสน่ห์ดึงดูดจนไม่อาจละสายตา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.cartier.com/en-th และ LINE Official Account @CartierT
Author By : Aunnkanta. C