ต้องยอมรับว่าในรอบทศวรรษที่ผ่านมา อิสตันบูล (Istanbul) เป็นเมืองดาวเด่นที่แฮพเพนนิ่งมากในหมู่นักท่องโลก
อิสตันบูลกลายเป็นเมืองที่นักท่องโลกพูดถึง และถามไถ่กันมากขึ้นทุกวัน เพราะอิสตันบูลคือ นคร 2 ทวีป และเป็นเมือง 3 จักรวรรดิ นั่นทำให้อิสตันบูลมีเรื่องราวมากมายให้สืบสาว รวมถึงมีสถานที่ที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหา
โดยมากเมื่อไปถึงเมืองนี้ ร้อยทั้งร้อยของนักท่องเที่ยวจะไปเริ่มต้นกันที่จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต (Sultan Ahmet Square) ลานกว้างแห่งนี้เขาเรียกฮิปโปโดรม เป็นศูนย์กลางของย่านเมืองเก่า และแวดล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวระดับแถวหน้าของอิสตันบูลที่มากองรวมกันในละแวกนี้ทั้งสิ้น
ที่นี่เป็นจัตุรัสที่มากมายไปด้วยที่มาที่ไป เพราะเคยเป็นทั้งสนามกีฬา ใช้แข่งรถม้า และเป็นลานต่อสู้ระหว่างคนกับคนรวมถึงเวลามีเทศกาลงานประเพณีสำคัญๆ เขาจะมาจัดหรือเฉลิมฉลองกันที่นี่ แต่ที่เด่นสะดุดตาที่สุด คงเป็นเสาโอเบลิสก์อันเก่าแก่ที่อยู่นานราว 1,650 ปี นี่จัดว่าเป็นศิลปวัตถุเก่าแก่ที่สุดในอิสตันบูล รอบๆ เสามีภาษาอียิปต์ที่เล่าถึงชัยชนะจากการทำสงครามของฟาโรต์ ใกล้ๆ กันเป็นเสาบรอนซ์รูปงูที่ชำรุดเสียหายไปมาก นี่คือเสาแบบกรีกที่เก่าแก่ที่สุดในอิสตันบูล
ตรงข้ามกับจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต จะเป็นประตูเข้าสุเหร่าสุลต่านอาห์เมต หรือมัสยิดสีฟ้า (Blue Mosque) มัสยิดซึ่งมีไซส์และทรวดทรงใหญ่ที่สุดในตุรกี ปกติมัสยิดทั่วๆ ไปจะมีหอสวดแค่ 2 หอ ถ้าใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็มี 4 หอ นี่ก็เรียกว่าไม่ธรรมดาแล้วนะ แต่เพื่อให้สมกับความใหญ่ มัสยิดสีฟ้าเลยมีหอสวดถึง 6 หอ
เห็นด้านนอกอาจจะดูธรรมดา แต่ด้านในนี่สิ สวยทำเอาหลายคนถึงกับเกิดอาการอ้าปากค้าง กระเบื้องอิซนิกสีฟ้าในยุคสมัยออตโตมันที่ระดมมาประดับนับหมื่นแผ่น เปล่งประกายความสวยอยู่ด้านในสุเหร่านี่เอง แต่อย่าคิดว่าใครจะมายืนโพสท่าสวยๆ จิกหน้าเชิดปากถ่ายรูปได้ตามอัธยาศัย เพราะที่ว่าพื้นที่กว้างขวางเนี่ยถูกจับจองไว้ด้วยรอยเท้าของนักเดินทางหลากสัญชาติ
ด้านในของสุเหร่าสุลต่านอาห์เมตว่างามแล้ว แต่ไม่ไกลกันยังมีวิหารเซนต์โซเฟีย (St. Sophia) หรือที่คนตุรกีเรียกกันว่า อายาโซเฟีย (Aya Sofya) ในสายตานักท่องโลก ที่นี่คือเพชรเม็ดงามที่ประดับนครอิสตันบูลเลยก็ว่าได้ ว่ากันว่า หากอยากชมผลงานทางสถาปัตยกรรมชิ้นมาสเตอร์พีซของอาณาจักรไบเซนไทน์ ให้ไปแหงนคอภายในวิหารแห่งนี้
เด่นไม่เด่นก็ดูเอาเถอะ เข้ารอบเป็น 1 ใน 21 ตอนโหวต 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 แต่ก็หลุดโผไปอย่างน่าเสียดาย แต่ถึงยังไงก็เคยมีดีกรีเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางมาก่อน เดิมทีที่นี่เป็นโบสถ์มาก่อนถึง 900 กว่าปี แต่พอถูกพวกอิสลามเข้าครอบครอง ที่นี่จึงถูกเปลี่ยนให้เป็นสุเหร่านานเกือบ 450 ปี จากนั้นเปลี่ยนไปเป็นพิพิธภัณฑ์ได้ 70 กว่าปีมานี่เอง แต่ล่าสุดเพิ่งเปลี่ยนกลับมาเป็นสุเหร่าอีกรอบ
ด้านนอกอาจจะดูไม่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ แต่ขอบอกว่าด้านใน อลังการงานสร้าง ใช้คำว่าสวยยังน้อยไป กับอายาโซเฟียใช้คำว่าวิจิตรจะเหมาะกว่า
สมคำโฆษณาที่ว่าสถาปัตยกรรมชิ้นมาสเตอร์พีซของอาณาจักรไบแซนไทน์อยู่ที่นี่ และสมแล้วกับที่มีตำแหน่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกการันตีอยู่ แต่พอเปลี่ยนกลับมาเป็นสุเหร่า ที่นี่จะเปิดช่วงกลางคืนด้วย หากใครไปช่วงตอนกลางคืนจะไม่ต้องไปเบียดเสียดกับคลื่นนักท่องเที่ยว และเมื่อติดไฟก็จะงดงามและมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
อิสตันบูลยังมีขุมทรัพย์และคลังสมบัติอยู่อีก 2 ที่ คือพระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace) และพระราชวังโดลมาบาห์เช (Dolmabahce Palace)
เดินอ้อมไปด้านหลังของเซนต์โซเฟีย คือที่ตั้งของกรุสมบัติใหญ่แห่งอิสตันบูล พระราชวังทอปกาปีที่นี่คือพระราชวังงามในยุคอาณาจักรออตโตมัน สถาปัตยกรรมแบบคลาสสิกออตโตมันจึงหาดูได้ในพระราชวังแห่งนี้ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่กักเก็บข้าวของวัตถุโบราณอันล้ำค่าเอาไว้นับไม่ถ้วน
แต่ถ้าชนะเลิศเรื่องความสวย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เทคะแนนให้ พระราชวังงามที่ทอดตัวอยู่แถวริมช่องแคบบอสฟอรัส ด้านในไม่เพียงซ่อนห้องหับเอาไว้หลายร้อยแต่ยังคลาคล่ำไปด้วยสถาปัตยกรรมและการตกแต่งที่ผสมผสานกันมาเป็นแพกเกจทั้งเรเนสซองส์ รอกโคโคและบารอค เริ่ดหรูอลังการจึงเป็นคำที่เหมาะกับพระราชวังโดลมาบาห์เชเป็นที่สุด
แต่มาถึงอิสตันบูลทั้งที ทั้งเรื่องกินเรื่องช้อปอย่าให้พร่อง ว่ากันด้วยเรื่องช้อป แกรนด์ บาซาร์ (Grand Bazaar) คือตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในอิสตันบูลซอกซอยแยกย่อยที่ซ่อนร้านรวงเอาไว้นับพัน ที่ชวนให้ตื่นตะลึงกับความใหญ่โตของตลาดแห่งนี้ ใครมาของแต่งบ้านเก๋ๆ รับรองไม่ผิดหวัง
คิดดูสิ มันน่าอัศจรรย์แค่ไหนที่คุณจะได้เดินช้อปปิ้งในตลาดใต้ร่มขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ละวันจะมีผู้คนไปเดินเบียดเสียดกันในตลาดนี้หลายแสนคนเพื่อจับจ่ายแวะกินอาหารและนั่งพักน่องตามร้านรวงร่วม ห้าพันแห่ง เฉพาะพ่อค้าที่อยู่ในตลาดก็มีกว่าสองหมื่นคนเข้าไปแล้ว
ตลาดแห่งนี้สร้างตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 15 สมัยนั้นเริ่มขายแค่พรม จิวเวลรี่ เครื่องปั้น และเครื่องเทศ จากนั้นก็ถูกขยับขยายมาเรื่อยๆ มีทั้งส่วนที่เป็นตลาดใต้ร่มและตลาดกลางแจ้ง และบางช่วงถูกไฟไหม้ และบางช่วงเกิดแผ่นดินไหว แต่ก็บูรณะมาเรื่อยๆ
บนพื้นที่เกือบ 200 ไร่ของตลาดใต้ร่มแห่งนี้ ภายในมีถนนกว่า 60 สาย ภายใต้หลังคาและกำแพงเดียวกันนี้ มีประตูทางเข้า 11 ประตู ภายในตลาดมีทั้งมัสยิด และฮัมมัม
ไม่ว่าอยากได้พรม เครื่องเทศ เครื่องเงิน เครื่องทองเหลือง เครื่องหนัง จิวเวลรี่ เครื่องทอง เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์จากมะกอก บารากู่ กระเบื้องเครื่องเคลือบ โคมไฟ ของเก่า เซรามิก นาฬิกา เครื่องดนตรีพื้นเมือง ก็ล้วนแต่หาได้จากที่นี่ และแค่เดินหย่อนน่องสัมผัสบรรยากาศการค้าขายในแบบตุรกี แค่นี้ก็คุ้มแล้ว จึงไม่น่าแปลกที่ แกรนด์ บาซาร์ คือหนึ่งในสิบของตลาดใต้ร่มที่น่าเดินที่สุดในโลก ไม่ได้เป็นแค่ตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอิสตันบูล
ห่างจากแกรนด์ บาซาร์ ขนาดเดินพอเหนื่อยยังมีสไปซ์ มาร์เก็ต (Spice Market) หรือตลาดนัดเครื่องเทศที่มีอาหารการกินให้ช้อปไม่น้อยหน้าแกรนด์ บาซาร์
ถ้าวัดกันที่ขนาดก็ต้องบอกว่าเป็นรองแกรนด์ บาซาร์ แต่ก็มีร้านรวงเกือบร้อยตั้งเรียงรายในตลาดแห่งนี้ ภายใต้ประตูทางเข้า 6 ทาง ถ้าวัดกันเรื่องอายุก็ต้องบอกว่าน้อยกว่าแกรนด์ บาซาร์ เพราะที่นี่สร้างในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ใครที่อยากจะซื้อของฝากประเภทผลไม้แห้ง เครื่องเทศ ชาประเภทต่างๆ น้ำมันมะกอก ชีส เตอร์กิชดีไลท์ ถั่ว ยาพื้นบ้าน สมุนไพร และของกินหลากหลายประเภทซื้อที่นี่จะเหมาะกว่า เพื่อให้การเดินทางมาเยี่ยมบ้านเคบับครบเครื่องเรื่องความหรรษา ฉันเลยนั่งละเลียดจิบชาแอปเปิ้ลตอนล่องเรือผ่านช่องแคบบอสฟอรัส แล้วก็พบว่าอร่อยจริงๆ ไม่ใช่เคบับนะ แต่เป็นอิสตันบูล
ถ้าไม่อยากตกเทรนด์ ควรรีบพาตัวเองไปสูดดมอากาศบริเวณช่องแคบบอสฟอรัสที่อิสตันบูลอย่างเร่งด่วน เพราะอากาศบนรอยต่อของแผ่นดินที่เชื่อมยุโรปกับเอเชียมีอานุภาพช่วยให้เลือดลมไหลเวียนสะดวกอย่างน่าประหลาด
Story & Photo By กาญจนา หงษ์ทอง