#TEAMLUKKADE
หนึ่งในนางแบบสาวสุดฮอตตลอดกาลของวงการซุปเปอร์โมเดลเมืองไทย รวมถึงเจ้าของวลีฮิตติดหูอย่าง “STRONG!” คุณลูกเกด - เมทินี กิ่งโพยม ที่ครั้งนี้กลับมาทำหน้าที่เมนเทอร์ในรายการเฟ้นหานายแบบเป็นครั้งแรกของโลกอย่าง The Face Men Thailand ซึ่งพร้อมการันตีความหล่อของหนุ่มๆ ผ่าน #TeamLukkade ที่รับรองว่าแซ่บและไม่แพ้ทีมไหนอย่างแน่นอน
“เกดรู้สึกดีใจและสนุกมากตั้งแต่ได้มีโอกาสมาเป็นเมนเทอร์ที่รายการ The Face Thailand แม้ว่าครั้งนี้จะมารับหน้าที่ในฐานะเมนเทอร์ของรายการ The Face Men ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและของโลก แต่เกดก็จะทำหน้าที่มาถึงซีซันที่ 4 แล้ว ถ้าเปรียบตัวเองก็คงจะเหมือนกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งในรายกายที่ขาดไปไม่ได้ เพราะถ้ามี The Face ก็ต้องมีลูกเกดค่ะ (หัวเราะ)
“อันที่จริงต้องขอเล่าย้อนตั้งแต่ก่อนจะมีรายการ The Face Thailand เลยค่ะ เริ่มแรกคุณเต้ (ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก) ได้ติดต่อเข้ามาว่าจะมีรายกายใหม่และอยากให้เกดเป็นหนึ่งในเมนเทอร์ โดยได้ส่งตัวอย่างรายการจากต้นฉบับให้ดูก่อน ซึ่งเกดก็สนใจมาก อย่างแรกที่คิดเลยคือ ถ้ารายการนี้จะสนุก ต้องมีเมนเทอร์หนึ่งคนเป็นนาโอมิ (Naomi Campbell – Mentor และ Executive Producer ของรายการ The Face) และเกดจะทำหน้าที่นั้นเอง
“เชื่อไหมว่าตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่เมนเทอร์ในรายการ เกดมีแนวทางการคัดเลือกลูกทีมที่แตกต่างกันทุกครั้งเลยค่ะ พยายามปรับเปลี่ยนให้หลากหลายมากยิ่งขึ้นแต่สุดท้ายลองสังเกตได้เลยว่าเมนเทอร์กับลูกทีมก็จะมีความคล้ายกันอยู่ดีในทุกๆ ซีซั่น มันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้เคมีของคนที่ใกล้เคียงกัน มีอะไรคล้ายๆ กันได้มาเจอกัน แม้ว่าจะพยายามปรับให้เปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ตาม และสำหรับ The Face Men Thailand ลูกทีมของเกด หล่อทุกคน คอนเฟริม์ค่ะ (หัวเราะ) ไม่มีใครหน้าแปลก และทุกคนคนละสไตล์กันหมด จนได้ฉายาว่า ‘ทีมบอยแบนด์’
“สำหรับการคัดเลือกลูกทีมครั้งนี้ถือว่า 50/50 เลยค่ะ มีอารมณ์ที่ทั้งง่ายและยากผสมกันไป เรื่องที่ยากคือ เกดจะรู้สึกด่าหนุ่มๆ ไม่ค่อยลง (หัวเราะ) ไม่อยากให้พวกเขารู้สึกไม่ดี ไม่อยากให้รู้สึกเฟล ไม่อยากให้มีความคิดแง่ลบส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเขาเพศเดียวกับลูกชาย (น้องสกาย กิงโพยม ชาร์พเพลิส) เวลามองพวกเขาก็เหมือนน้องสกายมายืนอยู่ข้างหน้าเกด พอจะว่าอะไรก็ไม่อยากรุนแรงไม่เหมือนกับลูกทีมผู้หญิงที่เกดใส่ได้เต็มที่ (หัวเราะ)
“การทำหน้าที่เมนเทอร์ไม่ว่าจะกับเพศชาย เพศหญิงหรือเพศอะไรก็ตาม เกดมองว่าไม่ต่างกัน เพราะสิ่งที่เราโฟกัสคือ ความปรารถนาที่ดีและความตั้งใจที่ส่งต่อให้พวกเขา แต่เกดก็ยอมรับนะว่าการทำงานกับผู้หญิงจะค่อนข้างง่ายกว่าเล็กน้อย เพราะสามารถสนิทกันได้เร็วกว่าแต่กับผู้ชายเกดจะมีเส้นบางๆ ขีดลิมิตเอาไว้ว่าจะสามารถสนิทกับเขาได้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นในมุมกลับกันพวกเขาก็จะมีอะไรบางอย่างที่พูดกับเกดไม่ได้ตรงๆ แต่ไม่ใช่ความรู้สึกแง่ลบนะคะ ส่วนเรื่องของการหึงหวงของคุณสามี (เอ็ดเวิร์ด ชาร์พเพิลส์) ยิ่งตัดไปได้เลยค่ะเพราะเขายังแซวเกดอยู่เลยว่า อายุลูกทีมสามารถเป็นลูกๆพวกเราได้เลยนะ (หัวเราะ) นอกจากนั้นครอบครัวเกดกับลูกทีมไปเอาท์ติ้งกันบ่อยมาก ได้จัดกิจกรรม นัดรวมตัวเที่ยวกัน ดังนั้นความรู้สึกพวกเราเลยเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันค่ะ
“สำหรับการฝึกฝนให้ลูกทีมมีความโดดเด่น เกดเชื่อว่าเมนเทอร์ทุกคนจะต้องมีทริคอะไรพิเศษที่จะใช้ในการเทรนลูกทีมของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งเกดจะดูแลลูกทีมของตัวเองเหมือนกับการดูแลลูก ให้ทั้งความใส่ใจและห่วงใยในทุกๆ ทาง ไม่ใช่แค่เรื่องของการฝึกฝนเท่านั้น เพราะบางคนก็มีปัญหาที่นอกเหนือจากนี้ อย่างปัญหาเรื่องภาระของทางบ้าน เราก็ต้องช่วยหางานให้เขา ดังนั้นก็เลยมีจุดที่เซนซิทีฟอยู่ด้วยค่ะ (ยิ้ม)
“สิ่งหนึ่งที่เกดไม่เคยมองและให้ความสนใจเลยคือเรื่องของการสร้างกระแส เราจะไม่มานั่งคิดว่าวันนี้จะทำอะไรดีเพื่อให้เป็นกระแสและเกิดการพูดถึง แต่เกดจะมาโฟกัสว่าสิ่งที่ควรทำวันนี้คืออะไร ฝึกฝนลูกทีมตัวเองอย่างไรให้สามารถชนะแคมเปญได้ในแต่ละสัปดาห์ เพราะวันนี้หน้าที่ของเกดคือการปั้นเด็ก เพื่อให้พวกเขาสามารถก้าวเข้าไปอยู่ในจุดที่เขาต้องการและถึงฝั่งฝัน
“เพราะ The Face Men Thailand คือผู้ชายคนแรกของโลกและของประเทศไทย ดังนั้นสิ่งที่เกดคาดหวังสำหรับผู้ชนะคือ ผู้ชายที่มีเสน่ห์ หล่อทั้งภายในและภายนอกรูปร่างดี มีความคิดสร้างสรรค์ มีจิตใจที่ดีงาม และต้องเป็น Gentlemen ซึ่งหมายรวมถึงผู้ชายที่ควรรู้ว่าจะดูแลและใส่ใจผู้หญิงอย่างไร ให้เกียรติคนอื่น มองโลกในแง่ดี และเป็นตัวของตัวเองด้วยค่ะ (ยิ้ม)
“สุดท้ายอยากให้แฟนๆ ที่ติดตามรายการ The Face Thailand มาโดยตลอด มองรายการ The Face Men Thailand เป็นอีกหนึ่งรายการหนึ่ง เพราะครั้งนี้ไม่ใช่การแข่งขันกันของผู้หญิง เกดอยากให้ทุกคนได้ดูรายการนี้แล้วเต็มไปด้วยความสุข รู้สึกดี อมยิ้มและหัวเราะไปด้วยกัน ส่วนคนที่ไม่ชอบก็หวังว่าจะไม่มาต่อว่ากันนะคะ (หัวเราะ) แล้ววันที่ 29 กรกฎาคมนี้พบกับค่ะ แล้วคุณจะรู้ว่า The Face Men Thailand คนแรกของโลกต้อง #teamlukkade แน่นอนค่ะ”
#TEAMMOOASAVA
หลังจากที่มีการเปิดตัวรายการ The Face Men Thailand สิ่งหนึ่งที่ฮอตที่สุด และได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง เห็นจะเป็นผู้ที่ได้รับเลือกให้มาเป็นเมนเทอร์ ทั้ง 3 คน ซึ่งบุคคลหนึ่งในนั้น เป็นบุคคลที่เราคุ้นเคยกันดี ในฐานะของผู้คร่ำหวอดในวงการแฟชั่น อีกทั้งยังเป็น นายกสมาคมแฟชั่นดีไซเนอร์กรุงเทพฯ (BFS) และ ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ แห่ง ASAVA GROUP ‘คุณหมู - พลพัฒน์ อัศวะประภา’ ซึ่งครั้งนี้เราจะมาพูดคุยกับเขาในบทบาทของการเป็น ‘เมนเทอร์หมู’
“ผมเข้ามาเป็นเมนเทอร์ของรายการ The Face Men Thailand โดยได้รับการติดต่อจาก คุณเต้ ปิยะรัฐ กัลจาฤก ตั้งแต่ประมาณปีที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ตกลงทันทีเพราะไม่ค่อยมีเวลาจริงๆ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรับหน้าที่นี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคุณเต้ เจ้าของรายการเพราะเขาเป็นคนน่ารักมาก ทำให้เราก็อยากทำงานด้วย และอีกสิ่งที่สำคัญก็คือ ด้วยความที่เราเป็นครู เราจึงมีนิสัยในการชอบสอนหนังสืออยู่แล้วอีกทั้งสมัยก่อน เราเองก็เคยเป็นนักแสดงละครเวที ประกอบรวมกับความรู้ด้านแฟชั่น และการถ่ายภาพนิ่ง ทั้งหมดเราก็คิดว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าแข่งขันรวมถึงผู้ชมทางบ้าน และตัวเองอาจจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ทำงาน ที่มันท้าทายขึ้น สุดท้ายก็เลยตัดสินใจที่จะทำ อีกอย่างด้วยนิสัยส่วนตัวก็เป็นคนที่ชอบทำอะไรที่มันออกนอกชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ดูซิว่าตัวเราทำมันได้ไหม แล้วโจทย์นั้นก็เป็นโจทย์ที่อยู่ในสิ่งที่ไม่ไกลเกินตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นการแสดง แฟชั่น การสอน ทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่เราสั่งสมมาในอาชีพเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี
“แม้ว่าเราจะเข้ามานั่งในตำแหน่งเมนเทอร์ของ The Face Men Thailand เราก็ไม่ได้ดูตัวอย่างจากอะไรนะ เราก็เป็นเรา สอนในสิ่งที่เคยสอน พูดในสิ่งที่คิดว่าเด็กควรจะรู้ และคนดูทางบ้านน่าจะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น แม้ว่านี่จะคือเรียลลิตี้โชว์ แต่เราก็ไม่ได้มองว่าเป็นการเล่นเกมสักเท่าไร เรามองว่านี่เป็นเหมือนการเอาความรู้ที่เรามีมาบอกเล่าให้คนฟังในแวดวงที่กว้างขึ้น ซึ่งมันก็คล้ายๆ กับเวลาที่เราทำเสื้อเราก็พยายามจะบอกว่า แฟชั่นมันควรจะเป็นยังไง รสนิยมในการแต่งตัวมันควรจะเป็นยังไง แต่นี่ก็อาจจะต้องเล่นให้ใหญ่ขึ้นนิดหนึ่ง แฝงความบันเทิงเข้าไปอีกหน่อยหนึ่งเท่านั้น (หัวเราะ)
“พอได้เริ่มถ่ายมาสักพัก เราเริ่มรู้สึกว่า จริงๆ มันเครียดกว่าที่เราคิดนะ แต่ไม่ได้เครียดเรื่องงานเลยนะ ไม่ได้เครียดเรื่องสิ่งที่เราสอนเด็กเลย เพราะว่าสิ่งที่เราสอนให้เด็ก มันคืองานประจำของเราอยู่แล้ว มันคือสิ่งที่เราสอนนายแบบ นางแบบ ดารานักแสดงทุกคนอยู่แล้ว แต่ว่าพอมันเป็นการแข่งขันมันถูกบีบด้วยเวลา บีบด้วยความผูกพันที่มันเกิดขึ้นระหว่างเรากับลูกทีม เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะรัก แต่สุดท้ายด้วยคนอาจจะไม่ค่อยรู้ว่าเราเป็นคนที่ค่อนข้างทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่เป็น พอเราทำอะไรกับใครเราก็ลงทุนกับสิ่งนั้นเต็มที่ กับเด็กๆทุกคนเราให้ใจ เราพยายามจะผลักดันเขา แล้วอยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นครอบครัว เพราะฉะนั้นเราไม่ได้มองเขาว่าเป็นลูกทีม ตอนนี้ทุกคนเหมือนน้องคนหนึ่งซึ่งเราเห็นศักยภาพและเราก็ไม่ได้มองว่าใครดีกว่าใคร ใครเด่นกว่าใคร เหมือนเรามีลูกเราก็รักลูกเท่ากันทุกคน เราก็อยากให้ลูกทุกคนได้ดีหมด อยากให้ทุกคนเขาได้ซึมซับสิ่งที่เราพูดให้ได้มากที่สุด ให้ได้นำไปใช้ประโยชน์กับชีวิตเขา มันก็เลยกลายเป็นความกดดัน เวลาที่เราส่งใครออกสักคนหนึ่งมันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตเรา มันไม่ใช่แค่เกมหรือแค่รายการทีวี แต่สำหรับเด็กมันคือชีวิตเขา มันเป็นความใฝ่ฝันมันเป็นความกระตือรือร้นในชีวิตเขา เพราะฉะนั้นการที่เรารับผิดชอบชีวิต และความฝันของคนทั้งคน มันก็เป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ บวกกับหน้าที่ของความเป็นครู ถ้าเด็กทำไม่ได้เราก็มองว่าเราทำหน้าที่ครูครบถ้วนหรือยัง อะไรแบบนี้ มันก็เหมือนเวลาเราขับรถให้กับคนนั่ง เราก็ต้องรับผิดชอบให้มากเป็นพิเศษ เราก็จะต้องรู้สึกว่ามันมีชีวิตคนอื่นอยู่ในมือของเรา เราจำเป็นต้องตั้งสติ เราจำเป็นต้องมีแรง มีสิ่งต่างๆที่เราจะทำให้เขาถึงฝั่งได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
“เด็กๆ ทุกคนนี่เขามาพร้อมความฝัน เขามีความกระหายที่อยากจะพัฒนาศักยภาพตัวเอง หลายๆ คนอาจจะมองว่ามันคือรายการทีวีโชว์ แต่สำหรับเด็กๆเหล่านั้นมันคือชีวิต บางคนอาจจะมาจากครอบครัวที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ อยากจะเข้ามาอยู่ในวงการเพื่อจะมีชีวิตที่อยู่ดีกินดีขึ้น มองหาโอกาสที่ดีขึ้นสำหรับชีวิตเพราะฉะนั้นสำหรับเรา เราก็เลยต้องจริงจังกับสิ่งที่เราทำ เราไม่ได้มองเป็นสิ่งที่เล่นๆ
“ส่วนตัวเราจะชอบคนที่มีศักยภาพแล้วก็พัฒนาได้ มีทัศนคติที่ดี ไม่จำเป็นต้องหล่อ แต่อยากให้มีอินเนอร์บางอย่างที่สามารถนำมาขัดเกลาให้เป็นคนที่น่ารักมีเสน่ห์ และสามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะว่าความหล่อสุดท้ายมันก็ค่อยมาเอง ถ้าคนรู้จักปรับแต่งทัศนคติตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างทักษะทุกอย่างเราพอจะสอนกันได้ แต่เรื่องของทัศนคติที่มองโลกในแง่บวกแล้วก็รู้จักทำตัวให้เป็นที่รัก มันขัดเกลากันไม่ได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้นก็พยายามจะดูเด็กที่มีพื้นฐานที่เขามีทัศนะคติที่ดี คิดว่าเด็กทุกคนค่อนข้างจะเป็นเด็กบวกอยู่แล้ว แต่ว่าอาจจะมีจริต มีมุมมองโลกที่ไปด้วยกันกับเรา แล้วก็ฉลาดที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งที่อยู่รอบตัว เราก็พยายาม ส่วนใหญ่เราจะพยายามมองหาเด็กที่ค่อนข้างมีความฉลาด
“สำหรับเรามองว่า The Face Men Thailand คนแรกของโลก เขาจะต้องเป็นผู้ชายที่สามารถทำตัวให้เป็นที่รักได้สำหรับคนทุกเพศทุกวัย หลากวัฒนธรรมเราคิดว่าเขาต้องมีความ Charming ที่มีความเป็นสากลด้วย แล้วก็เป็นคนที่มีทัศนคติที่บวก และมีความเป็นมืออาชีพ จัดให้อยู่สถานการณ์ไหนก็สามารถที่จะมีความโดดเด่น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องหล่อ แต่มีความโดดเด่น เป็นที่จดจำ ในแง่ที่ดีได้เสมอ
“ถ้าถามว่าเราคาดหวังให้เด็กของเราเป็นผู้ชนะในเกมนี้มั้ย เราไม่ได้คิดตรงนั้นนะ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่เป็น The Face Men จะอยู่ทีมไหนก็ได้ แต่สิ่งที่เราคิดคือระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เราอยากจะให้เด็กของเรามีพัฒนาการเยอะที่สุดใช้ศักยภาพของเขาให้ได้มากที่สุด แต่เขาจะไปถึง The Face Men หรือเปล่าอยู่ที่ตัวเขาเองว่าเขาใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่มั้ย เขาได้ใช้สิ่งที่เมนเทอร์แต่ละคนให้นำกลับไปไตร่ตรอง วิเคราะห์ แยกแยะ และก็นำไปใช้ในการทำ Challenge ต่างๆอย่างเต็มที่หรือเปล่า หน้าที่ของเราคือการให้ความรู้ และถ่ายทอดสิ่งที่เรามีอยู่ให้กับเด็กๆ เหล่านี้ สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่เกมของเรา แต่มันคือความสำเร็จของเขา
“The Face Men Thailand จริงๆ รายการแตกต่างจาก The Face ผู้หญิง นะครับเพราะมันจะมีแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจ แล้วเมนเทอร์แต่ละคนก็จะมีมุมที่ทำให้รายการสนุก ได้ความรู้ และก็เอนเตอร์เทนด้วย ก็รอดูกันไป อาจจะมีความเป็นดราม่ามากขึ้นมานิดๆ หน่อยๆ แต่ก็เพื่ออรรถรสของรายการ ซึ่งทั้งหมดมันไม่ใช่หัวใจสำคัญของโชว์ หัวใจสำคัญของโชว์คือ ผู้ที่ดูรายการนี้จะลุ้นแล้วก็สนุกไปกับ Challenge ต่างๆ ที่แทรกเข้ามา การจะเป็นดาราสักคนหนึ่ง การจะประสบความสำเร็จในแวดวงอาชีพสายบันเทิง มันจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ที่นี่จะเป็นเหมือนหลักสูตรเร่งรัด และสิ่งที่เราพยายามพูดเสมอนอกจากเรื่องของคุณสมบัติทางทักษะแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องคุณสมบัติของความเป็น Professionalism เรื่องของจริยธรรมในการทำงาน ซึ่งเราคิดว่าสังคมตอนนี้ต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ ให้รู้ว่าจริงๆ แล้วการเป็นดาราที่ดีมันไม่ใช่แค่สวยแค่หล่อหรือขายของได้แต่ว่าต้องเป็นตัวอย่างที่ดี มีความเป็นมืออาชีพ เป็นตัวอย่างที่ดีของคนในสังคมด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็พยายามจะสอดแทรกให้เห็นอยู่ในสิ่งที่เราพูด และเราก็สอนเด็กๆอยู่เสมอครับ”
#TEAMPEACH
ชื่อของคุณพีช - พชร จิราธิวัฒน์ ถูกเสิร์ชจนขึ้นลำดับต้นๆ ของการค้นหาในทุกช่องทางเพียงชั่วข้ามคืน นั่นไม่ใช่เพราะในฐานะทายาทตระกูล ‘จิราธิวัฒน์’ หรือเกี่ยวกับข่าวคราวความรักที่กำลังหอมหวาน หากแต่เหตุผลทั้งหมดล้วนมาจากการที่คุณพีช ติดโผเป็นหนึ่งในสามบุคคลสำคัญที่ต้องนั่งเก้าอี้เมนเทอร์ประจำรายการ The Face Men Thailand ครั้งแรกของประเทศไทย และนับเป็นครั้งแรกของโลกอีกด้วย
“เราเคยเข้าไปเป็นแขกรับเชิญให้กับ The Face ซีซั่น 3 หลังจากนั้นพี่เต้ก็ขอนัดกินข้าว ผมคิดว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่เลย คุยไปคุยมาก็เป็นโปรเจ็คท์นี้ ตอนแรกก็ยังไม่ตอบ ได้แต่บอกว่าเดี๋ยวขอกลับไปคิดก่อน พอคุยไปคุยมา รู้สึกว่าน่าจะคอนทริบิวท์อะไรให้กับวงการบันเทิงไทยได้บ้าง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถ้าเรามีโอกาสช่วยสร้างนักแสดงที่ดีมันก็ดี เป็นไซเคิลที่ทุกคนได้ผลดีหมด ก็น่าจะลองดูเพราะร่วมงานกับนักแสดงใหม่ที่แสดงครั้งแรกมาเยอะ รู้สึกว่าที่ผ่านมาเราก็ทำได้มีคนมาขอคแนะนำให้เราช่วย ก็ดันกันมาจนได้ เราน่าจะทำอะไรตรงนี้ได้"
"ก่อนจะเข้ามาก็ทำการบ้านหนักมาก หนักหน่วงเหลือเกิน จากที่เรารู้อยู่แล้วบางทีเราก็ต้องเอ็กแพลนความรู้ในสายงานที่เราไม่เคยทำ อย่างเช่น มานั่งคิดเรื่องเดินแบบ จริงๆ ก็ไม่เคยต้องมานั่งคิดหรอก ชีวิตนี้เดินอย่างเดียว เราก็มานั่งดูวิดีโอ ต้องมานั่งปรึกษาคนที่ทำโชว์ คุยกันว่าทุกคนคิดยังไง ทำให้ต้องหาความรู้เรื่องนี้ให้ตัวเองเยอะ ตั้งแต่ทำรายการนี้นอนไม่หลับบ่อย มันเหนื่อยกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ อย่างการแสดงเคยทำอยู่แล้ว ก็ต้องมีทฤษฎี แต่เราจะพูดยังไงให้ลูกทีมเราเข้าใจ หาวิธีแบบไหนอธิบาย เพราะปกติมันเป็นสิ่งที่เราเข้าใจเอง คอนเซนเทรทในหัว ก็ต้องทำการบ้านเยอะ”
“บรรยากาศมันไม่เหมือนที่เราคิด ที่คิดก็ไม่ขนาดนี้ ของจริงมันคืออีกโลกนึงเลย อะไรวะเนี่ย ไม่เหมือนเวลาเรามาในฐานะแขกรับเชิญ ทุกคนอยากชนะหมด ชนะในที่นี้ไม่ใช่อยากชนะในรายการ หรือฉันต้องแย่งซีนแกให้ได้ ที่เราอยากชนะ เพราะเราลงแรงไปแล้ว เราหวังสิ่งดีๆ คืนให้กับลูกทีมของเรา ต้องได้ต้องเอาให้ได้ เราต้องทำการบ้านเพิ่มทุกเทป ยังคงศึกษาไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราก็จะเรียนรู้เรื่องใหม่ไปเรื่อยๆ ทุกเทป ต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม อะไรที่ต้องกลับบ้านไปคิดเพิ่ม ความกดดันต้องรับมือยังไง ต้องสู้กับคนอื่นยังไงดี คิดหาวิธีการที่เหมาะกับเขา กลับไปอ่านหนังสือ ดูวิดีโอเดินแบบเยอะมาก เพราะนั่นคือจุดอ่อนของเราจริงๆ ยอมรับเลย ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ ก็ต้องไปทำการบ้านเยอะๆ ถึงจะสู้เขาได้ ต้องวางแผนตลอดเวลาว่าจะเทรนน้องยังไง อะไรที่น้องแต่ละคนขาด น้องในทีมแต่ละคนมีบุคลิกเป็นยังไง อะไรที่หายไป พื้นฐานนิสัยแต่ละคนเป็นยังไง วิธีแก้ปัญหาของคนนี้ต้องทำยังไง เพราะเวลาเราทำงาน เราทำงานกับใจคน แต่ละคนมีปัญหาต่างกัน บางคนมีกำแพงตรงนี้เราจะแก้ปัญหายังไงเราก็ต้องมานั่งคิด ต้องมานั่งวางแผน อย่างเข้ามาตอนแรกทีมเราแต่ละคนขี้อายมากเรารู้สึกว่าวีคแรกผ่านไป เขาไม่คุ้นชินกับกองถ่าย คนในกองถ่ายเยอะ 50-60 คนจ้องมองเรา มีลูกค้า มันเกร็งมาก เหมือนเวลาจับเราไปยืนตรงรถไฟฟ้าอโศกแล้วให้เต้น ให้ทำหน้าตาน่าเกลียดอยู่ตรงนั้น มันเป็นอารมณ์นั้นเลย แต่หลังๆก็เริ่มดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ คือเราต้องหาว่า ณ วันนี้ จุดอ่อนของเขาคืออะไร อะไรที่ต้องหาอะไรที่ต้องแก้อีก อะไรที่ต้องทำให้ดีกว่าเดิม”
“เราเลือกน้องๆ เข้ามาในทีมจากคนที่มีคุณสมบัติในการเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกับเราได้ เลือกจากคนที่เราเห็นว่าจะเป็นเพื่อนในการร่วมประกอบอาชีพกับเราเราเลือกอย่างนั้นเลย ใครที่มีความสามารถเพียงพอ บางคนเหมาะแค่จะเป็นนายแบบ บางคนเหมาะกับการถ่ายภาพนิ่ง เราคิดว่าเราเลือกจากคนที่เหมาะกับการเป็นนักแสดงที่สุด เพราะเราพูดตรงๆ ตามความจริงว่า อุตสาหกรรมบันเทิงในเมืองไทย มีนายแบบกี่คนที่ทำได้ทุกแขนง มีนักแสดงกี่คนที่ขึ้นปกหนังสือมีนักแสดงกี่คนที่วันนี้ยังคงเดินแฟชั่นวีค แฟชั่นโชว์ในเมืองไทย หรือไปเดินแฟชั่นที่ต่างประเทศ ทั้งหมดนี้ในจำนวนมากเป็นอาชีพนักแสดง เราจึงเลือกคนที่เป็นอาชีพนี้ก่อน เพราะมันสามารถเอาไปทำอย่างอื่นต่อไปได้”
“ลูกทีมที่เลือกเป็นไปตามที่คิด ดีมาก รีเฟล็กซ์ความเป็นเรามาก หลังๆเริ่มพูดจาเหมือนกัน เหมือนเรามาก มันซึมซับกัน เราพยายามให้ทุกสกิลทุกอย่างที่เรามี อะไรที่เราไม่มีเราก็ไปหาคนอื่นมาช่วย ต้องทำให้เขาคอมพลีทที่สุด เราต้องสร้างคนที่พร้อมจะทำงานมากที่สุด นั้นคือสิ่งที่สำคัญเสมอในรายการนี้ เราไม่สนใจด้วยนะว่า The Face Men Thailand คือใคร เราสนใจว่า ถ้าเขาออกจากที่นี่ไปแล้วเป็นใครมากกว่า นั่นเป็นคอนเซนเทรชั่นของเราในรายการนี้ เราไม่สนใจซีนดราม่า ใครจะชนะ ใครแพ้ ช่างมัน ช่างมันให้หมด เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นแค่นั้น หลังจากวันไฟนอลวอล์คเขาต้องเข้าไปสู้กับของจริง ถ้าพวกเขาชนะแล้วจบไปทำอะไรไม่ได้ นั่นแปลว่าตัวเราเองสอบตก กลับกันถ้าไม่ชนะ แต่เขาได้มีอาชีพที่ดี ถือว่าเราประสบความสำเร็จมาก นั่นคือสิ่งเดียวที่วัดได้”
“การเป็นเมนเทอร์คุณต้องมีใจที่อยากจะสอน คุณต้องมีใจที่อยากจะอินสไปร์กับเด็ก นั่นคือสิ่งสำคัญที่จำเป็นที่สุด อย่างอื่นเติมกันได้ แต่ก่อนอื่นต้องมีใจว่าอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขา อยากให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่มองคนที่อยากจะชนะอย่างเดียว นั่นไม่ใช่แอตติจูดที่จำเป็น มันเหมาะกับคนที่แพ้ก็ได้ แต่ต้องดี”
“อายุมีประโยชน์อะไร ถ้าทำงานไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งสำคัญ มันไม่ได้วัดว่าคนที่เป็นเจ้าของบริษัทต้องอายุเท่านี้เท่านั้น มันตอบอะไรไม่ได้ ตอบไม่ได้ว่าเจ้านายไม่โตกว่าลูกน้อง ถ้ามีประสบการณ์แต่ทำอะไรไม่เป็น มันก็แค่นั้นไม่สามารถเอาสิ่งนี้ มาบอกได้ว่า ความเก่งของคนมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ตัวเรา เราไม่ได้สู้กับตัวเอง แต่เรารู้สึกว่าเราเป็นเราให้ดีที่สุด เราแค่เอาสิ่งที่เรามีมาตลอดมาพูดมาถ่ายทอดให้ได้ เราไม่ได้พูดว่าเราเป็นคนเก่ง แต่เราเป็นคนที่ทำงานนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เรามี และทำให้เราได้มาอยู่ในรายการนี้ ทำให้เรามีงานอยู่ทุกวันนี้ เราไม่เคยยอมแพ้ อะไรที่ไม่ดีแก้ แล้วก็ทำให้ดีขึ้น ถ้าวันนึงเราคิดว่าตัวเองเก่งเราจะหยุดขยับ นั่นคือสิ่งที่เราเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา แข่งกับตัวเอง แข่งไปเรื่อยๆเรากับเรา วันนึงคนที่ออกจากรายการไปเขาก็เป็นคู่แข่งกับเรา เพราะฉะนั้นเราจะเตือนพวกเขาว่าถ้าออกไป เราไปไกลเท่าไหร่ เราจะหนีกันไปเรื่อยๆ เราจะแข่งกันไปเรื่อยๆ”
“การได้มาเป็นเมนเทอร์ทำห้คิดเยอะขึ้น วางแผนเยอะขึ้น หลายๆ สิ่งหลายๆอย่าง เวลาพูดจะใจเย็น เพราะทุกครั้งที่เราพูด มีผลกับจิตใจลูกทีม บางทีพูดยังไงให้ไม่เหลิง พูดยังไงให้พร้อมตลอดเวลาที่จะก้าวไปข้างหน้า อย่างวันนี้เครียดต้องดูแลยังไง ต้องวางแผนว่าวันนี้จะเจอกับอะไร จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบคนอื่นมากขึ้น เราก็ต้องดูแลน้องๆ สิ่งที่ดีที่สุดของคืออะไรเราต้องรับผิดชอบอนาคตของพวกเขา ต้องช่วยกัน ถ้าผ่านรายการนี้ไป ผมก็พร้อมแต่งงานเป็นพ่อคนได้แล้ว (ยิ้ม)”
“ถ้าคนในทีมเราได้เป็น The Face Men Thailand ก็เพราะเขาเก่ง เขาคู่ควรที่จะเป็น วัดแค่ตรงนั้นเลย บางอย่างมันสอนกันไม่ได้ เกิดมาต้องมีเลย มันอาจจะเป็นธาตุอะไรไม่รู้ แต่เราเชื่อว่าทีมเราทุกคนมี เราก็เชื่อเขาตั้งแต่วันที่เราเลือก เราเชื่อหมดว่าคนนี้เกิดได้ มันมีความเชื่อในตัวเอง ถ้าเราไม่เชื่อเขาเราไม่อยากได้เขาหรอก แล้วเขาก็เชื่อเรา แค่นั้นเลย”
“หลายๆ คนที่เคยดู The Face ผู้หญิง อย่างแรกต้องทำความเข้าใจกันก่อนรายการนี้ไม่ใช่รายการโต้วาทีใดๆ เข้าใจเหตุผลนี้ใหม่ ใครที่ดูมาแล้วคิดว่าเป็นแบบนั้น ขอบอกเลยว่าพวกคุณคิดผิด พวกคุณดูรายการผิดมาตลอด รายการนี้แข่งกันที่น้องๆ วัดกันที่ความสามารถล้วนๆ ปีนี้เรามาจริงๆ มาแข่งกัน วัดว่าใครเก่งจริง ไม่ต้องดูเมนเทอร์ ไม่ต้องสนใจพวกเรา ดูน้องๆ ของทุกทีมว่าเขาเมจิคอล แต่จะฝากทีมนี้ไว้ว่า ทีมนี้สู้จริงๆ ขยันมากทุกคน น้องๆตั้งใจทำงานมาก ทุกคนสู้ ยังไงก็ฝากน้องๆ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจ ใครที่อยากเอาไปใช้งานก็เอาไปใช้น้องพวกนี้พร้อมจริงๆ ฝากไว้ด้วยครับ”
TAE–PIYARAT KALJAREUK
จากจุดเริ่มต้นของกระแสดังเปรี้ยงปร้างของ The Face Thailand ทั้ง 3 ซีซั่น จนฉุดไม่อยู่ และดังไกลไปถึงต่างประเทศ จึงทำให้ผู้บริหารอย่างคุณเต้ - ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก ไม่รอช้าที่จะสร้างกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องกับโปรเจ็กต์ใหม่ที่จะเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งได้รับการตอบรับลิขสิทธิ์จากต้นสังกัด ให้ทำ The Face Men Thailand ได้ในประเทศไทยกระแสตอบรับจะเป็นอย่างไร แรงแค่ไหนนั้น ต้องคอยติดตามชมกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ แค่แย้มๆ เปรยๆ มาเล็กน้อยก็ทำเอาแฟนคลับฮือฮากันแล้ว
Beginning of The Face Men Thailand Season I
เรื่องของเรื่องคือมีดาราหญิงเยอะแล้วอยากมีดาราชายบ้าง จึงอยากสร้างดาราศิลปินชายหน้าใหม่ๆ เพราะดาราชายเป็นอะไรที่มีความฮอต และกระแสตอบรับดีมากจึงคิดว่าน่าสนใจที่จะลองทำดู พอมีไอเดียขึ้นมาจึงปรึกษากับทางต้นสังกัด ว่าจะขอลิขสิทธิ์มาทำได้ไหม ทางต้นสังกัดก็ตอบรับยินดีให้ทำได้เลย ซึ่งทำให้เรากลายเป็นต้นแบบของโลกและครั้งแรกของโลก และเท่าที่ทราบมีอีกประมาณ 10 ประเทศที่รอทำตามเราอยู่ ก็เลยรู้สึกภูมิใจที่เป็นประเทศแรกในโลก และก็รู้ว่าเจ้าของลิขสิทธิ์เขาก็แฮปปี้ เพราะเขาสามารถขายได้ในประเทศอื่นๆ ต่อ อย่างน้อยก็ 10 ประเทศ และประกอบกับ The Face Thailand ทั้ง 3 ซีซี่นที่เราทำแล้วประสบความสำเร็จมากกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกด้วย ทำให้เขายิ่งยินดีที่จะให้เราทำ ซึ่งก็มีคนคิดเหมือนกันว่า The Face Men Thailand จะสนุกเหมือนของผู้หญิงรึเปล่า จะมีการ Cast Fiveได้อย่างไร ซึ่งในความคิดของคุณเต้แล้ว ในการแข่งขันก็จะมีความแตกต่างจากผู้หญิงเพราะจะต้องเฟ้นหาผู้ชายที่มีความหล่อ เท่ มีเสน่ห์ กับทุกๆ เพศ
Concept
คอนเซ็ปต์ของ The Face Men Thailand ก็คือ การมองหาคนที่มีลักษณะของผู้ชายที่เมื่อผู้ชายมองแล้วก็อยากจะเป็นผู้ชายคนนั้น มีความเท่ มีความเป็นผู้นำเมื่อผู้หญิงมองก็อยากได้ไว้ในครอบครอง และมีเสน่ห์น่าหลงใหลกับเพศอื่นๆ ด้วย
The Mentors
สำหรับเมนเทอร์ทั้ง 3 ท่านที่เลือกมานี้ อย่างพี่ลูกเกด - เมทินี กิ่งโพยม นี้ก็คือ DNA ของรายการเลย ไม่มีไม่ได้ ตามฉายาสนุกๆ ที่เราพูดกัน “แม่ก็คือแม่” ส่วนพี่หมู - พลพัฒน์ อัศวะประภา ก็จะเป็นคนที่มีประสบการณ์ในวงการแฟชั่น และรู้จักเป็นการส่วนตัวมานานมากแล้ว ซึ่งก็ทำให้คิดว่าพี่หมูสามารถควบคุมทุกอย่างได้จากความที่เป็นคนเร็วและมีไหวพริบดี มีความคมในคำพูด และสำหรับน้องพีช - พชร จิราธิวัฒน์ ก็เห็นเขามาตั้งแต่เริ่มต้นเข้าวงการ และเคยจะร่วมงานกันหลายครั้งแล้วแต่คิวยังไม่ลงตัวกัน ซึ่งอาจจะมีคนคิดว่าน้องจะไหวไหม แต่สำหรับเรามองว่าน้องเป็นคนมีของมีความสามารถ เพียงแต่คนอาจจะไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้เท่านั้นเอง เพราะคนเคยเห็นเขาในบทบาทของการเล่นละคร ร้องเพลง แต่คราวนี้ทุกคนจะได้เห็นความเป็นพีชจริงๆ จึงคิดว่าน้องสู้ได้แน่นอน
ความยากง่ายในการคัดเลือก
ความยากง่ายในการคัดเลือกคนครั้งนี้ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดนะ ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าจะมีผู้ชายแท้ๆ อย่างที่คิดไว้หรือไม่ จะมีประวัติอะไรหรือไม่ แต่เราก็คิดว่าครั้งนี้เป็นการคัดสรรหานายแบบก็อาจจะมีคนที่ผ่านการบู๊อะไรมาบ้าง เราก็ไม่ว่ากัน ซึ่งก็ปรากฏว่าตอนรอบคัดเลือกคนที่เข้ามา 500 คน ทุกคนที่คัดเข้ามาแล้วทั้ง 25 คน นี่ดีหมดเลย มีความหลากหลายรูปแบบและมีหลายประเทศด้วยเพราะเราเปิดให้คนเข้ามาสมัครได้ทุกประเทศคุณเต้ก็รู้สึกแฮปปี้มากกับตรงนี้ ซึ่งก็ทำให้มีการลุ้นว่าจะได้ทำ The Face Asia ต่อด้วย
ความแตกต่างระหว่าง The Face Men Thailand และ The Face Thailand
การแข่งขันครั้งนี้ก็จะมีความ Witty และ Inteligent หน่อย ก็จะไม่เชือดเฉือนมาก เพราะจะเป็นการแข่งขันด้วยกลยุทธ์และสมอง ใช้ปัญญามากกว่าใช้อารมณ์
ความคาดหวังในกระแสตอบรับ
เท่าที่รู้สึกได้ก็ค่อนข้างแรงพอสมควร เพราะว่าพอเป็นผู้ชาย ทุกคนก็อยากติดตามดู และที่สำคัญรายการครั้งนี้เป็นครั้งแรกของโลกด้วย และเราไม่ได้มีรายการที่ออกทางทีวีอย่างเดียว แต่ยังมีทำออนไลน์ด้วย เพราะคุณเต้ให้ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 25 คนเข้าไปอยู่ในบ้านรวมกัน แล้วสังเกตการณ์ติดตามดูพวกเขา ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้รายการดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
ฝากติดตามรายการ
ฝากรบกวนเป็นกำลังใจให้ด้วย เพราะเราก็เต็มที่กับการทำรายการนี้มากเพราะเป็นรายการแรกของโลก จึงอยากทำออกมาให้ดีที่สุด และเราก็เป็นบริษัทผู้ผลิตโปรดักชั่นเองด้วย เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องเต็มที่สุดๆ กับงานนี้และเมนเทอร์ทั้ง 3 ท่านก็สามารถสู้กันได้แน่นอน ก็อยากให้ช่วยกันติดตาม The Face Men Thailand ด้วยว่าเป็นอย่างไร