วงการการศึกษาในประเทศไทยยังคงพัฒนาและเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้ามกลับต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยหลากหลายประการ ไม่ว่าจะด้านคุณภาพการศึกษา การเตรียมความพร้อมให้กับนักศึกษา และทักษะที่จำเป็นต่อโลกยุคใหม่ ซึ่งคนแรกที่จะต้องรับมือกับความท้าทายนี้คงไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก ‘สถาบันการศึกษา’
ในช่วงหลายปีมานี้ชื่อของ ‘มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี’ ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขว้าง โดยเฉพาะในด้านความสำเร็จของการเป็นมหาวิทยาลัยที่ตอบโจทย์ด้านหลักสูตรการศึกษา แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จอันสง่างามนั้นล้วนมาจากวิสัยทัศน์ของ ‘ศาสตราจารย์ ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล’อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี บุคคลสำคัญของวงการการศึกษาไทย หญิงแกร่งผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการศึกษาให้ก้าวไกลในระดับประเทศและทัดเทียมในระดับสากล
“ก่อนอื่นต้องบอกว่าอธิการฯทำงานด้านการศึกษา โดยเป็นทั้งผู้นำและผู้บริหาร สำหรับการเป็นผู้นำต้องคิดเป็น คิดสิ่งใหม่ๆ ครีเอทสิ่งใหม่ๆ คิดในสิ่งที่แตกต่างนอกกรอบ และแก้ปัญหาได้ ส่วนผู้บริหารมีหน้าที่บริหารจัดการตามแผนงานที่จัดเตรียมไว้ ฉะนั้นในฐานะผู้นำ การที่จะผลักดันให้มหาวิทยาลัยก้าวหน้าและเติบโต ต้องสร้างหลักสูตรการเรียนที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการ หลักสูตรที่ทันต่อโลกยุคใหม่ หลักสูตรที่ผู้ประกอบการพึงพอใจ และหลักสูตรที่นักศึกษาสามารถนำไปประกอบอาชีพตนเองได้อย่างภาคภูมิ”
“มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีได้มีการออกแบบหลักสูตรที่สอดรับกับความต้องการของนักศึกษารวม 65 หลักสูตร 16 คณะ เป็นหลักสูตรที่ปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา มีคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และชำนาญการในด้านต่างๆ ไม่เพียงเด่นด้านวิชาการ ภาคทฤษฎี แต่ในภาคปฏิบัติก็มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เราจัดให้มีศูนย์ฝึกปฏิบัติสร้างเสริมประสบการณ์ภายในมหาวิทยาลัย รวมถึงพานักศึกษาออกไปปฏิบัติภาคสนามนอกมหาวิทยาลัย ทั้งภายในประเทศ และภายนอกประเทศ เพื่อให้นักศึกษากล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงออก อีกทั้งยังส่งเสริมให้ลูกศิษย์เก่งด้านกิจกรรม โดยปัจจุบันในกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เราได้แชมป์ 5 สมัยซ้อน ส่วนการแข่งขันกีฬาในระดับโลก ลูกศิษย์ของมหาวิทยาลัย น้องเทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ได้เหรียญทองโอลิมปิกกีฬาเทควันโด 2 สมัย และน้องวิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ก็ได้เหรียญเงินโอลิมปิกกีฬาแบดมินตัน”
“นอกจากนั้นแล้ว ผู้นำต้องคิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ประการแรกคือ ลูกศิษย์ต้องประสบความสำเร็จ ประการต่อมา คณาจารย์ต้องทำงานเป็นทีม ถ้าองค์กรจะเติบโตและก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ต้องมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ทำอย่างไรให้ลูกศิษย์เกิดความภาคภูมิใจ มีความรู้ตรงตามหลักสูตร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชา เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว สามารถนำไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว ต่อยอดไปสู่การสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน สังคม และประเทศชาติ เมื่อเราคิดเช่นนี้ทุกอย่างจะเติบโตและต่อเนื่องไปได้ตลอด”
ระยะเวลาราว 40 ปี กับการคลุกคลีอยู่ในแวดวงการศึกษา จากจุดเริ่มต้นในการสร้างสถาบันการศึกษาสายอาชีพกับ ‘วิทยาลัยอาชีวศึกษากรุงเทพธนบุรี’ ทว่าด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในเวลาต่อมาศาสตราจารย์ ดร.บังอร สามารถขยายการเติบโตให้กับอาณาจักรสถาบันการศึกษาจากปี 2545 พร้อมก่อตั้ง ‘มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี’ ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพออกสู่สังคมรุ่นแล้วรุ่นเล่า จวบจนปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาในเครือรวมทั้งสิ้น 4 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โรงเรียนสาธิตกรุงเทพธนบุรี วิทยาลัยอาชีวศึกษากรุงเทพธนบุรี และ วิทยาลัยเทคโนโลยีโพลีกรุงเทพ
“นอกจากให้ความรู้ด้านวิชาการแล้ว อีกหนึ่งภารกิจสำคัญของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีคือ การสอดแทรกเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และการรู้จักเสียสละแบบองค์รวม ให้อยู่ภายในหลักสูตร และกิจกรรม เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจบริบทในโลกความจริง ที่มีสมหวัง มีผิดหวัง ต้องทำให้เขาแข็งแกร่ง มีแนวคิดที่แก้ปัญหาเมื่อเกิดปัญหาแบบเป็นเหตุเป็นผล ทางมหาวิทยาลัยมักจะพานักศึกษาเข้าไปสัมผัสชุมชน เพื่อให้เห็นชีวิตของคนที่ต้องการโอกาส พาไปรู้จักองค์กรและหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงวิธีการสร้างความสำเร็จ เรียกว่าได้เห็นทุกระดับ จากนั้นก็นำแนวความคิดมาบูรณาการร่วมกัน”
ในมุมมองของศาสตราจารย์ ดร.บังอร สิ่งใดคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการการศึกษาไทยในปัจจุบัน
“โลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนไปทุกวัน ทุกวันนี้มีเทคโนโลยี AI ต่างๆ เข้ามา ประกอบกับประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มใบ ในฐานะผู้นำของสถาบันการศึกษาต้องรับมือกับความท้าทาย ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งด้านวิชาการ และสร้างความพร้อมในทุกๆ ด้าน ต้องอัพเดทความรู้ใหม่ๆ รูปแบบใหม่ๆ อยู่นิ่งไม่ได้เลยแม้นาทีเดียว นอกจากตามให้ทันกระแสโลก ในบางเวลาเราต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำ เพื่อให้เด็กของเราไม่ตกอยู่ในการเป็น Follower เราก็จะอยู่ได้อย่างสง่างาม”
ด้วยการทำงานในหลากหลายบทบาท มีหลักในการสร้างสมดุลระหว่างแต่ละบทบาทได้อย่างไร
“สำหรับบทบาทของการเป็นแม่ของลูกชายและลูกสะใภ้ การเป็นคุณย่าของหลานสองคน และสำคัญที่สุดคือบทบาทการเป็นผู้นำองค์กรทั้ง 4 สถาบัน เป็นผู้นำของคณาจารย์เกือบ 3,000 ชีวิต เป็นผู้นำของลูกศิษย์ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกด้วยบทบาทหลากหลายรอบด้าน อธิการจึงคิดสามเหลี่ยมของความสมดุลขึ้นมา คือ 1.งาน ต้องมุ่งมั่นเต็มที่กับงาน บุกลุยให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย 2.ครอบครัว ทำอย่างไรกับการแบ่งเวลาให้ครอบครัวมีความสุข และ 3.สังคม ทุกวันนี้เราประสบความสำเร็จได้จากสังคม เราก็ต้องรู้จักแบ่งปันให้กับสังคม เมื่อเราทำสามเหลี่ยมของความสมดุลให้บาลานซ์กัน งานก็สำเร็จ ครอบครัวก็มีความสุข แล้วก็ไม่ลืมคืนความสุขกลับสู่สังคมด้วยเช่นกัน”
ครอบครัวมีบทบาทอย่างไรในการสนับสนุนและเป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า
“ครอบครัวสำคัญมากๆ (เน้นเสียง) นอกจากครอบครัวที่มีลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานๆ เรายังมีอีกหนึ่งครอบครัวที่ใหญ่มากคือ คณาจารย์ และลูกศิษย์ ซึ่งทั้งสองครอบครัวมีความสำคัญในการช่วยผลักดันให้มีพลังใจ เวลาทำสิ่งต่างๆ ประสบผลสำเร็จครอบครัวก็พร้อมยินดี แม้กระทั่งเวลาที่มีความทุกข์ มีปัญหา ครอบครัวก็พร้อมอยู่เคียงข้าง คอยซัพพอร์ต ช่วยคิด ช่วยแก้ปัญหา ให้กำลังใจ ทำให้มีแรงขับเคลื่อนที่จะบุกลุยไปข้างหน้าอย่างมีพลัง”
การได้เห็นลูกๆ ประสบความสำเร็จในชีวิตคือความภาคภูมิใจสูงสุด
“ในฐานะของการเป็นแม่ช่วงเวลาที่ภูมิใจคือ การได้เห็นลูกๆ ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ลูกชายเรียนจบจนถึงระดับปริญญาเอก ได้ทำงานที่รักและมั่นคง แต่สิ่งที่ทำให้มีความสุขเป็นเท่าทวีคูณคือ การได้เป็นอาจารย์ เป็นอธิการบดี เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย ได้เห็นลูกๆ นักศึกษาในแต่ละรุ่น เรียนจบออกไปประกอบอาชีพที่มั่นคง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน บางคนทำธุรกิจการค้าเจริญรุ่งเรือง บางคนเป็นข้าราชการได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง”
“ส่วนในฐานะคนเป็นลูก ภูมิใจที่มีโอกาสได้ดูแลคุณพ่อคุณแม่ ต้องบอกก่อนว่าครอบครัวพี่เป็นครอบครัวธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวย แต่เมื่อเติบโตเราสามารถทำงานเลี้ยงชีพได้ มีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีโอกาสได้ดูแลคุณแม่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ในความฝันของคนเป็นลูก เราภูมิใจที่ทำให้ท่านภาคภูมิใจที่เลี้ยงลูกจนประสบความสำเร็จ สามารถทำงานด้านการศึกษา ก่อตั้งสถาบันการศึกษาของตัวเอง ถึงแม้ท่านจะไม่ทันได้เห็นมหาวิทยาลัย แต่ก็ได้ชื่นชมกับโรงเรียนพาณิชย์”
ในมุมมองของศาสตราจารย์ ดร.บังอร ‘การศึกษา’ สามารถเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไร
“การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าไปร่วมพัฒนาสังคมและชุมชน รักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมีการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนรอบข้างอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สถาบันการศึกษาจะต้องมีความพร้อมในการลงไปช่วยดูแลชุมชน โดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีได้เข้าไปช่วยชุมชนสร้างอาชีพ สอนการเพาะเห็ด ตั้งแต่ทำโรงเรือน จัดหาอุปกรณ์ต่างๆ จนทุกวันนี้คนในชุมชนมีอาชีพจากการเพาะเห็ดขายเดือนละหลายพันบาท นอกจากนี้ยังสอนการปลูกมะเขือเทศพันธุ์โซลาริโน่ สอนปลูกเมล่อน สอนเลี้ยงปลา รวมไปถึงสอนภาษาอังกฤษ สอนภาษาจีน สอนให้รู้จักการทำบัญชีรายรับรายจ่าย นับเป็นสิ่งสำคัญที่สถาบันการศึกษาจะช่วยผลักดันให้ชุมชนมีความเติบโต และสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”
โครงการด้านสังคมหรือกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ที่ภาคภูมิใจที่สุด
“เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีได้เปิดคณะแพทยศาสตร์ โดยมหาวิทยาลัยได้ซื้อที่ดินจำนวน 4 ไร่ เพื่อสร้างอาคารแพทย์ศาสตร์ศึกษา ภายในโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ให้ผู้ป่วยได้ใช้ประโยชน์ นอกจากนี้เรายังได้จัดซื้ออุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทยที่จำเป็นมอบให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ประกอบกับทางมหาวิทยาลัยได้เข้าไปช่วยเหลือติดตั้งแอร์ให้กับโรงพยาบาล ที่เกิดความแออัดเมื่อต้องรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีความเจ็บป่วยค่อนข้างเยอะ หรือแม้กระทั่งการบริจาคเงินเพื่อติดตั้งแอร์ภายในศาลาวัดพรหมสุวรรณสามัคคี ให้ผู้ที่มาทำบุญมีความเย็นกายสบายใจ นอกจากนี้ในแต่ละปี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรียังบริจาคเงินช่วยเหลือเด็ก สตรี คนพิการ รวมทั้งมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนที่ขาดโอกาสมาอย่างต่อเนื่อง”
“และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พี่ภูมิใจมากๆ คือ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มีนักศึกษาตั้งใจเดินทางมาศึกษาต่อระดับปริญญาตรีจากต่างจังหวัดเยอะมาก ทั้งจากภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน แต่ติดปัญหาเรื่องที่พักอาศัย ทางมหาวิทยาลัยจึงได้สร้างหอพักให้นักศึกษาอยู่ฟรี พร้อมอาหาร 3 มื้อ จนสามารถส่งให้นักศึกษาเรียนจบไป 10 กว่ารุ่น จำนวนหลายหมื่นคน เป็นความภาคภูมิใจที่ได้สร้างอนาคต ให้ที่อยู่ที่กิน จนเขาเรียนหนังสือจบประสบความสำเร็จในหน้าที่การทำงาน”
เมื่อถามไปถึงมุมมองและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ศาสตราจารย์ ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล ได้มอบแนวทางไว้เป็นแง่คิดด้วยการนำคำสำคัญคือ ‘Empathy’ มาขยายความให้เราได้หยิบไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ รวมทั้งยังเผยถึงบุคคลต้นแบบที่ตนเองยกย่อง
“ด้วยความที่เราต้องอยู่กับคนจำนวนมาก ทั้งลูกศิษย์และคณาจารย์ สิ่งสำคัญของผู้นำองค์กรต้องอยู่ภายใต้คำว่า ‘Empathy’ การเห็นอกเห็นใจ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา มองเข้าไปให้ถึงหัวใจคน เพราะถ้าเรามี Empathy เราจะรู้ว่าลูกน้องคิดอะไร ลูกศิษย์ต้องการอะไร เราก็สามารถช่วยเหลือในสิ่งที่เขาต้องการได้ ทุกคนก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข”
“สำหรับบุคคลต้นแบบก็คือ คุณพ่อคุณแม่ ท่านไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่สามารถเลี้ยงลูกจนประสบความสำเร็จได้ ท่านมักจะสอนให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง ทุกปิดเทอมพี่ต้องไปทำงานเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ช่วงเปิดเทอม ไม่ได้เล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ดังนั้นสิ่งที่ได้ติดตัวมาคือ ความอดทน ความเป็นนักสู้ เดิมทีต้องใช้คำว่าสถานการณ์บังคับ ต้องช่วยเหลือตัวเอง เกิดปัญหาแล้วต้องแก้ไขให้เราอยู่ได้อย่างสง่างาม เพราะฉะนั้นพี่จะรู้วิธีเลี้ยงลูกให้แข็งแกร่ง เลี้ยงลูกให้อดทน เลี้ยงลูกให้ประหยัด เป็นคำสอนที่ติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้จะมีพร้อมทุกอย่างสามารถใช้ได้ฟุ่มเฟือย แต่ในมุมหนึ่งพี่ก็ยังแอบติดนิสัยประหยัดอยู่”
เป้าหมายในอนาคตที่อยากทำให้สำเร็จทั้งในแง่การบริหารสถาบันการศึกษาและชีวิตส่วนตัว
“ในปัจจุบันจะเห็นว่าเรื่องของสุขภาพมีความสำคัญมากๆ มหาวิทยาลัยจึงมีเป้าหมายต่อไปในการสร้างโรงพยาบาล เพื่อให้นิสิตนักศึกษาได้ใช้เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติงาน ด้านเป้าหมายส่วนตัวพี่อยากจะทำงานให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะยาวนานได้ เพราะการทำงานคือความสุข ความสุขที่ได้สร้างประโยชน์ให้กับลูกศิษย์ ความสุขที่ได้สร้างประโยชน์ให้กับลูกน้อง ความสุขที่ได้สร้างประโยชน์ให้กับลูกๆ หลานๆ และก็เป็นความสุขที่สร้างประโยชน์ให้กับครอบครัวสังคมชุมชนและประเทศชาติ”
ผู้หญิงยุคใหม่ควรพัฒนาแนวคิดหรือทักษะอะไรบ้าง เพื่อให้ประสบความสำเร็จได้ทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
“ปัจจุบันจะเห็นว่าผู้หญิงยุคใหม่ประสบความสำเร็จเยอะมากๆ ส่วนตัวพี่มองว่าผู้หญิงยุคใหม่ควรรู้จักดูแลตัวเอง ซึ่งการดูแลตัวเองในที่นี้ก็หมายถึงการแต่งกายเสริมสร้างบุคลิกภาพ เสริมสร้างความมั่นใจ ผู้หญิงที่มีความมั่นใจก็จะกล้าแสดงออก กล้าคิดอะไรใหม่ๆ กล้าที่จะเดินไปข้างหน้า โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลสุขภาพ ทั้งภายในและภายนอก รวมถึงการดูแลแนวคิด จะต้องคิดเป็น คิดนอกกรอบ แก้ปัญหาเป็น ต้องมีทักษะที่จำเป็นต่อยุคสมัย โดยเฉพาะทักษะด้านภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาอื่นๆ แต่ที่สำคัญเลยก็คือ ต้องตามให้ทันเทคโนโลยี AI”
“การประสบความสำเร็จคือ การที่ชีวิตมีความสุข ครอบครัวและคนรอบข้างมีความสุข ซึ่งคำว่าความสุขหมายถึง ตัวเราเองมีหน้าที่การงานดี ทุกคนในครอบครัวมีหน้าที่การงานดี ลูกศิษย์ทุกคนจบไปแล้วมีหน้าที่การงานดี” ศาสตราจารย์ ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล กล่าวทิ้งท้ายไว้ได้อย่างน่าสนใจ
Author By : Ouamporn Donsingha