คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สุภาพสตรีสาวเก่งที่เป็นต้นแบบของใครหลายคน นอกจากให้เกียรติมาร่วมถ่ายแฟชั่นเซ็ตให้กับ HiSoParty ในครั้งนี้แล้ว คุณกลางยังให้เกียรติมาบอกเล่าถึงเรื่องราวการทำงาน และนโยบายการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปี 2567 อีกด้วย
ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวของประเทศไทยครึกครื้น และมีสีสันมากขึ้น นอกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาเที่ยวที่บ้านเราแล้ว คนไทยเองก็ยังหันมาเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นเช่นเดียวกัน …
“หากจะให้พูดถึงภาพรวมการท่องเที่ยวไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 สถานการณ์ท่องเที่ยวสำหรับตลาดต่างประเทศ นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย เดือนมกราคม-มีนาคม 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ภาพรวมมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย จำนวนทั้งสิ้น 9,381,098 คน และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 476,072 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาค โดย 3 ภูมิภาคแรก คือ อาเซียน ยุโรป และเอเชียใต้ค่ะ มีจำนวนและรายได้ฟื้นตัวเทียบเท่าที่เคยได้รับในช่วงเวลาเดียวกันปี 2562 ส่วนสถานกราณ์การเดินทางของนักท่องเที่ยวเอเชียตะวันออก เร่งจำนวนเพิ่มขึ้นได้ดี โดยเฉพาะจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ค่ะ
“และสำหรับตลาดในประเทศเดือนมกราคม –มีนาคม 2567 มีการเติบโตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว 228,100 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เพราะมีปัจจัยสนับสนุนหลักๆ ได้แก่ เป็นฤดูท่องเที่ยวและมีช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องอย่างวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่, กิจกรรมส่งสริมทางการตลาดจาก ททท. และพันมิตร อาทิ โครงการเที่ยวได้ทุกวัน 365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทย, เทศกาลตรุษจีนในเมืองหลัก และเมืองรอง, การส่งเสริมกิจกรรมชูจุดขายเสน่ห์ไทย Soft Power ผ่านงานเทศกาลประเพณีต่างๆ การส่งเสริมอาหารถิ่นถึงอาหาร Michelin, การส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวสายบุญ สายมู เสริมดวงปีมะโรง 2567, การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของสายการบินภายในประเทศ เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางข้ามภูมิภาค อาทิ สายการบิน Vietjet Air เส้นทางเชียงราย-ภูเก็ต, สายการบิน AirAsia เส้นทางอุดรธานี-ภูเก็ต, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอย่าง ‘Easy E-Receipt’ นอกจากจะส่งเสริมให้คนไทยเกิดการใช้จ่ายสินค้า และบริการเพิ่มขึ้นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวได้อีกทางหนึ่ง และจากกระแสเที่ยวตามรอย ยูทูปเบอร์ ตามรอย Content Creator ต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีและส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวทุก Gen ได้เป็นอย่างดี เหมือนแคมเปญล่าสุดของ ททท. สุขทันทีที่เที่ยวไทย”
กระแสการท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง
“สำหรับการท่องเที่ยวตอนนี้ Gastronomy Tourism เรียกว่ามาแรง เพราะมีอาหารถิ่น อาหารมิชลินมาช่วยสร้างกระแส และตอนนี้เรามีการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวแบบสาย Sport Tourism มากขึ้น อย่างมวยไทยเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ ซึ่ง ททท. ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬา แต่เราก็ดึงกลุ่มคนรักกีฬา คนชื่นชอบมวยไทยมาทำเป็นกิจกรรมหรือจัดอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งจะเกิดการขยายมิติของการท่องเที่ยว อีกมิติของการส่งเสริมการขายที่ชัดเจน คือ เสน่ห์ไทย หรือ ซอฟต์พาวเวอร์ โดย ททท. ได้เน้นและให้ความสำคัญมาหลายอย่างต่อเนื่อง นโยบายหลักของเราคือดึงจุดแข็งให้กลายเป็นจุดขาย ซึ่งจุดแข็งที่ว่าก็คือซอฟต์พาวเวอร์ Tourism Experience ประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมายมีความสำคัญ เขาเริ่มไปแหล่งท่องเที่ยวชุมชน แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ตามรอยศรัทธา ตามรอยผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด หรือ ศิลปินที่ชื่นชอบ หาอาหารอร่อย ร่วม Sport Tourism และ มุ่งเน้นสุขภาพ Health & Wellness ประเทศเราก็ทำได้ดี และอีกสิ่งที่ ททท. ทำมาตลอด คือ การส่งมอบการท่องเที่ยวที่มีความหมาย Meaningful Travel Experience แต่เราจะทำให้ลึกซึ้งกว่านั้น คือ Meaningful Relationship มากกว่าได้ประสบการณ์คือได้รับความสัมพันธ์ที่มีความหมาย หาก Meaningful Relationship เกิดขึ้น ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นตำนานที่ทำให้เขาอยากกลับมาอีกค่ะ สุดท้ายสิ่งที่เป็นพื้นฐานของนักท่องเที่ยว คือการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ก้นบึ้งของจิตใจลึกๆ ทุกคนเขาค่อนข้างละอายหากเขาท่องเที่ยวแล้วทำลายธรรมชาติ คิดว่าทำลายแล้วจะเป็นบาป เหมือนฆ่ามด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะคะ ททท. ส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในหลายมิติ ทั้ง Carbon Neutrality, STGs, STAR รวมถึงบริษัทนำเที่ยวที่ต้องสร้างความใหม่และแตกต่างเพื่อสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวด้วยค่ะ”
การปรับตัวให้เท่าทันกับโลกยุคใหม่ของ ททท.
“ตอนนี้อยู่ในยุคที่เรียกว่า New ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นยุคใหม่ (New Era) โลกใหม่ (New World) และเราต้องมีกรอบความคิดใหม่ เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยที่เราคาดเดาไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลง บางทีมีปัจจัยที่นึกไม่ถึง เพราะฉะนั้นทุกคนต้องพร้อมเปิดใจรับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เพราะโลก ณ ปัจจุบัน ประชากรในโลกเชื่อมโยงกัน โดยดิจิทัล ทุกคนรู้ซึ้งกันและกันอย่างถ่องแท้ ทุกคนก็รู้เหมือนกันหมดว่าใครขยับไปทางไหน
“ฉะนั้นทฤษฎีทางการตลาดที่ ททท.เป็นผู้ขับเคลื่อนหลักจะต้องเปลี่ยนแปลงโดยเร็วและท้าทาย แนวคิดการตลาดยุคใหม่ๆ ททท. ต้องไม่อยู่ในคอมฟอร์ตโซน และต้องไปพร้อมกันทั้งตลาดในประเทศตลาดต่างประเทศ และไม่อยากให้มีพรมแดนของตลาดออนไลน์ และตลาดออฟไลน์ คนที่เก่งและยืนได้แข็งแรงและวิ่งเร็วที่สุด คือคนที่ทลายกำแพงความคิดด้านการตลาดได้ค่ะ”
นี่คือแนวคิด รวมถึงวิชั่นในการทำงานที่ทุ่มเทของสุภาพสตรีหญิงเก่ง และแกร่งของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคนนี้
และเนื่องจาก HiSoParty เป็นหนึ่งใน Media Partner ของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เราจึงอดไม่ได้ที่จะถามถึงมุมมองของคุณกลางที่มีต่อปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ลี้ภัยหญิงทั่วโลกตอนนี้
“ในช่วงเวลาที่เกิดสงคราม และความขัดแย้งขึ้นมา สิ่งที่มีตามมาด้วย คือผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ลี้ภัยหญิง และเด็กผู้หญิง ต่างต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความรุนแรงทางเพศ และความไม่เท่าเทียมทางเพศ เพียงเพราะพวกเธอเกิดมาเป็นผู้หญิง แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น แต่เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องหาวิธีการช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ และโชคดีที่มีหน่วยงานที่มาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะอย่าง UNHCR ทั้งยังได้ก่อตั้ง กองทุนเพื่อผู้ลี้ภัยหญิงโดยเฉพาะ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความยากลำบากของผู้ลี้ภัยหญิงเหล่านี้ โดยจัดให้มีที่พักพิงที่ปลอดภัยซึ่งมีความเป็นส่วนตัว มีระบบการแจกจ่ายอาหารและน้ำที่เป็นธรรม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขอนามัยที่เป็นส่วนตัว นอกจากนี้ยังจัดการโปรแกรมที่ช่วยให้ผู้หญิงมีความรู้ พัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ และเข้าถึงโอกาสการทำงานต่างๆ มากขึ้น ซึ่งกองทุนนี้เปรียบได้กับเครื่องมือและช่องทางที่จะทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้มีส่วนช่วยเหลือผู้ลี้ภัยผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลกได้ ทั้งยังช่วยให้ผู้ลี้ภัยหญิง เหล่านั้นลุกขึ้นยืนและใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มีความหวังที่จะสู้ชีวิตต่อไปอีกด้วย”
Photo By : Veeraphol, Prayuth