counters
hisoparty

ชาวร็อกรวมพลังแน่นธันเดอร์โดม รับตำนาน Guns N' Roses กลับมาเขย่าประเทศไทยอีกครั้งใน Guns N' Roses 2025 World Tour – Bangkok

9 hours ago

         หนึ่งในโมเมนต์ที่แฟนเพลงร็อกต้องจดจำตลอดกาล เมื่อ Guns N' Roses วงร็อกระดับตำนานเจ้าของฉายา ‘The Most Dangerous Band in the World’ กลับมาสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในประเทศไทยอีกครั้ง กับ Guns N' Roses 2025 World Tour – Bangkok ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี โดยกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ 4 ในตารางทัวร์เอเชีย ต่อจากอินชอน โยโกฮาม่า และเถาหยวน ภายใต้การจัดของ AMA Media และ Four One One Entertainment

         แฟนเพลงหลายพันคนเดินทางมารวมตัวกันตั้งแต่ช่วงเช้า พร้อมสวมเสื้อวงอย่างภาคภูมิ ต่อคิวซื้อสินค้าที่ระลึกจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะเข้าสู่ค่ำคืนที่พลังร็อกระเบิดขึ้นอย่างสมศักดิ์ศรีศิลปินระดับโลก Guns N' Roses เปิดเวทีด้วย Welcome To The Jungle เป็นเพลงแรกของโชว์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่พวกเขาเลือกเพลงนี้ขึ้นเปิด และสร้างแรงกระเพื่อมแรกได้อย่างเต็มพิกัด

         เสียง Cowbell อันเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นต่อทันที เป็นสัญญาณของ Bad Obsession ตามด้วย Mr. Brownstone ที่ Slash ปล่อยโซโลกีตาร์สุดลุ่มลึกให้แฟนๆ ได้ลิ้มรส ก่อนจะพาเข้าสู่บทเพลงซิมโฟนิกร็อก Live And Let Die ที่เปิดพลังโปรดักชันบนเวทีทั้งแสง สี เสียง และวิชวลกราฟิกอลังการทุกจังหวะ

         ความเดือดไม่แผ่ว Guns N' Roses ยกเซ็ตเพลงฮาร์ดร็อกมาเล่นรวดเดียว 6 เพลงต่อเนื่อง ได้แก่ Chinese Democracy, Coma, Perhaps, Double Talkin' Jive, It's So Easy และ Slither จัดลำดับใหม่ให้แฟนๆ ได้ประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากครั้งก่อน พร้อมส่ง Estranged เพลงพาวเวอร์บัลลาดแสนละมุนมาเบรกอารมณ์อย่างละเมียดละไม

         ช่วงกลางของโชว์คือพื้นที่ของความหลากหลายทางดนตรี ตั้งแต่ Better และ Sorry จากอัลบั้ม Chinese Democracy ไปจนถึง You Could Be Mine, Rocket Queen, Civil War และ New Rose ที่นำมาคัฟเวอร์จากวงพังก์รุ่นใหญ่ The Damned ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการผสมผสานแนวดนตรีได้อย่างกลมกล่อมและช่ำชองของ Guns N' Roses

         ค่ำคืนเดินทางเข้าสู่ช่วงไคลแม็กซ์ ด้วยบทเพลง Knockin' On Heaven’s Door ของ Bob Dylan และสองเพลงใหม่ Hard Skool และ Absurd ก่อนที่ Slash จะเปิดฉากโซโลกีตาร์สุดเร่าร้อน นำเข้าสู่เพลงอมตะ Sweet Child O' Mine ที่เรียกเสียงกรี๊ดสะท้านฮอลล์ ส่งท้ายด้วยไตรภาคแห่งความทรงจำ November Rain, Nightrain และ Paradise City ที่ทุกเสียงร้องประสานกันดังกึกก้อง ปิดโชว์อย่างสมบูรณ์แบบ

         Axel Rose, Slash และ Duff McKagan ยังคงยืนหยัดในความเป็นร็อกสตาร์ที่แท้จริง ทุกภาคการแสดงยังเปี่ยมด้วยพลังและความสดใหม่ เสน่ห์ที่ไม่เคยลดลงตามกาลเวลา กลายเป็นบทพิสูจน์ว่าไม่ว่าคุณจะเคยดูพวกเขามากี่ครั้ง ‘โชว์ของ Guns N' Roses’ จะไม่เคยเหมือนเดิม และจะยังคงทำให้หัวใจของแฟนๆ เต้นแรงได้ในทุกๆ ครั้ง

         สามารถติดตามข่าวสารและทัวร์คอนเสิร์ตครั้งต่อไปได้ทางโซเชียลมีเดียของ AMA Media และ @411ent

Author: Arunlak
Photo: courtesy of Guns N' Roses


SHARE    

SHARE