สวัสดีครับชาวผู้อ่าน HiSoParty ที่รัก ปลายฝนต้นหนาวราวๆ เดือนธันวาคมแบบนี้ มักอบอวลไปด้วยงานแต่งงาน และข่าวดีของคู่รักที่พร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ดูเหมือนตอนนี้การเตรียมงานแต่งงานดูเหมือนจะเป็นเทรนด์ยอดฮิต ตั้งแต่การขอแต่งงานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว การเตรียมการเรื่องงานแต่ง ตั้งแต่เรื่องชุด เรื่องหน้า เรื่องผม เรื่องอาหาร เรื่องดอกไม้ และมีมากมายหลายสิ่ง ผมว่ายิ่งนับวันยิ่งรุกราม ยิ่งใหญ่ อลังการแบบยั้งไม่อยู่ทีเดียวครับ จริงอยู่คนเรา (โดยส่วนใหญ่) น่าจะแต่งงานครั้งเดียวในชีวิต ฉะนั้นจึงอยากทำทุกอย่างให้ได้ดั่งความฝัน เรียกว่าฝันไว้อย่างไรก็อัดให้แน่น สร้าง Magical Moment ให้เต็มที่ แต่ผมว่าอะไรที่มันเกินจริง เกินงาม มันก็ดูไม่เข้าที อาจะดูเหมือนจำอวดได้เหมือนกันนะครับ อาจจะด้วยรสนิยมส่วนตัวที่ชอบอะไรเรียบๆ ง่ายๆ ผมมักไม่ชอบอะไรที่มันดูหรูหรา อลังการเกินจริง ผมกลับชอบงานแต่งงานที่ดูสบายๆ
เป็นกันเอง เป็นธรรมชาติ ผมว่า Scale เล็กๆ ที่ขนาดกำลังดีแต่ทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัว ดูโก้ สง่า และมีเสน่ห์กว่าเยอะครับ แต่นานาจิตตังครับ บางคนก็อาจจะรู้สึกว่ายิ่งใหญ่ ยิ่งหรู ก็แล้วแต่รสนิยมเลยครับ โดยส่วนใหญ่ชาวตะวันตกมักนิยมจัดงานกันเล็กๆ ในหมู่ญาติและเพื่อนสนิท จะหรูหราอย่างไรก็พยายามให้อยู่ในหมู่คนสนิท ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมเอเชียที่ชอบจัดคน Scale ใหญ่แบบเชิญแขกให้หมดโลก บางทีแขกเป็นใครมาจากไหนบ่าวสาวยังจำหน้ากันไม่ได้ ก็ประหลาดดีเหมือนกันครับ
ขอวกกลับมาเรื่องเดิมกันดีกว่าครับ เรื่องที่ยากที่สุด เรื่องหนึ่งที่คุณสาวๆ มักเป็นกังวลและเครียดกันหลังจากที่เจอชายหนุ่มในฝันแล้วก็คือการจัดงานในฝัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเลือก Mood and Tone ของงานว่าเราอยากจัดงานประมาณไหน ช่วงเดือนอะไรเพราะจะเป็นการกำหนดทุกอย่างของงานแต่งด้วยครับ เช่น อยากแต่งริมทะเล อยากจัดงานแต่งงานในสวน เพราะทั้งช่วงเวลาและสถานที่ จะส่งผลถึงการเลือกเสื้อผ้าหน้าผมอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ฝ่ายเจ้าสาวมักมีตั้งแต่ชุดเช้า ชุดบ่าย ชุดเย็น ไปจนถึงชุด After party กันเลยทีเดียว ยิ่งมีชุดเยอะก็ต้องทำการบ้านให้หนักหน่อย มีเวลาทำการบ้านกันเยอะๆ อันดับแรกผมขอแนะนำให้ Research กันก่อนครับ
Homework
ผมว่าเจ้าสาวทุกคนย่อมมีภาพในหัวอยู่แล้ว ว่าอยากได้งานแต่งงานประมาณไหน ลองรีเสิร์จหาภาพต่างๆ หรือลองทำ Mood board คร่าวๆ ไว้ในใจ ยิ่งหารูป Reference ได้มากเท่าไหร่ยิ่งดีครับ เพราะบางทีและโดยส่วนมาก มักอธิบายไม่ถูกว่าสุดท้ายแล้วต้องการอะไรจริงๆ ยิ่งมีรูปต่างๆ มาอ้างอิงก็จะหาทิศทางการทำงานง่ายขึ้น ถ้าคู่บ่าวสาวไม่มีเวลา แนะนำให้หา Wedding Planner เก่งๆ สักคน ชีวิตเราจะสบายขึ้นเยอะให้เขาจัดหาให้เราได้ทุกอย่าง ลองเปิดดู Profile ของ Planner แต่ละคนว่ารสนิยมเขาตรงกับเราไหม ยิ่งถ้ามีเพื่อนเคยใช้บริการแล้วด้วยยิ่งดี ลองสอบถามดูเลยว่า เขาบริการเป็นอย่างไรจะได้ไม่ต้องมาอารมณ์เสียกันเปล่าๆ Planner เก่งๆ สามารถเสกให้เราได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ชุด สถานที่ อาหาร ของชำร่วย ช่างภาพ ดอกไม้ ทุกสิ่ง ยิ่งคุณเวลาน้อย ให้เขาจัดการไปเลยครับ เราจะได้ไม่ต้องเครียดกับเรื่องเหล่านี้ วันของเราทั้งทีคอยสั่งคอยบอกและตัดสินใจสบายๆ ดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องเครียดจนหนังย่นครับ
Trail
หลังจากได้ Mood board แล้วถ้ามีเวลาสัก 7-8 เดือนล่วงหน้า หรือในบางกรณี ถ้าจะแต่งงานช่วงปลายปีอาจจะต้อง Plan ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี เพราะสถานที่ต่างๆ มักถูกจองล่วงหน้า โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์มักเป็นช่วงที่ต้องเตรียมการล่วงหน้าให้นานกว่าปกติ (อันนี้เฉพาะในแถบประเทศบ้านเรานะครับ) เพราะหากเป็นประเทศแถบอเมริกาหรือยุโรปจะชอบแต่งกันช่วงฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือนมีนาคม เมษายน เรื่อยไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ราวๆ เดือนตุลาคม แตกต่างจากบ้านเราครับ เมื่อได้ภาพชุดในฝันลองมองหาร้านหรือ Brand ที่เหมาะกับเราดู ส่วนใหญ่น่าจะลองชุดไว้หลายๆ ทรงเพราะบางทีภาพที่มีอยู่ในหัวกับเมื่อลองชุดจริงๆ แล้วอาจจะต่างกับภาพในหัวก็ได้ครับ ไม่เสียหายที่จะลองแบบที่เราไม่คิดว่าจะใส่ได้ เพราะหลายๆ ครั้งเจ้าสาวกลับชอบชุดทรงที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวตัวเองมาก่อน ฉะนั้น อย่าปิด Option ตัวเองครับ ลองไว้หลายๆ แบบจะได้รู้ว่าแบบไหนที่เหมาะกับรูปร่างตัวเอง ส่วนใหญ่เจ้าสาวมักบอกว่าจะขอลดน้ำหนักก่อน เชื่อผมเถอะครับ อย่าไปเครียดมากเรื่องน้ำหนัก เอาที่เรามีความสุข ไม่ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองมาก เจ้าบ่าวเขาแต่งงานกับคุณที่คุณเป็นคุณ ไม่ได้แต่งกับคุณที่ผอมกว่าชีวิตปกติ ส่วนใหญ่ผมว่าน้ำหนักจะลดก็คงไม่มาก ไม่ใช่จะเปลี่ยนหุ่นกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน
Be Yourself
ชุดที่สวยที่สุดคือชุดที่เข้ากับตัวเราเองมากที่สุด ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนสไตล์ตัวเองในวันแต่งงาน ในทางตรงกันข้ามมันควรจะเป็นวันที่คุณควรแสดงตัวตนของตัวเองออกมาให้มากที่สุด ทั้งหน้า ทั้งผม ไม่จำเป็นต้องพอกหน้าหรือแต่งหน้าจนเป็นคนอื่น ลองแต่งหน้าสไตล์แบบที่เราชอบ ลองทำผมแบบที่เราคิดไว้ ลองถ่ายรูปเล่นๆ ดูว่าเราชอบไหม เพราะเราไม่ควรลองผิดลองถูกวันจริงเลย ยิ่งคนที่มีช่างแต่งหน้าประจำอยู่แล้ว ผมว่าใช้ช่างประจำดีสุดครับ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สีประมาณไหนที่ชอบ ผมประมาณไหนที่เราชอบ ผมว่าวันสำคัญที่สุดในชีวิตเราควรเป็นตัวของเรา เพียงแต่ Groom up ให้ดูสะอาดสะอ้านพิถีพิถันกว่าปกติ ไม่จำเป็นต้องแน่นแบบไม่เหลือความเป็นตัวเอง ผมว่ามันดูตลกเวลาเราดูพยายามประดิษฐ์เกินไป เดี๋ยวนี้ Brand ส่วนใหญ่มี Collection ชุดเจ้าสาวให้เลือกแทบทุกแบรนด์ สิ่งที่สำคัญคือเสื้อผ้าที่ Fit กับสัดส่วนของเรา จริงๆ ชุดแต่งงานที่หรูหราไม่ได้หมายความว่าต้องปักเพชรปักเลื่อมแพรวพราว จริงๆ สูทขาวลินินเรียบๆ สักตัวอย่างที่ Bianca Jagger ใส่แต่งงาน ที่ตัดโดย Yves Saint Laurent ก็สามารถกลายเป็นชุดในตำนานได้โดยไม่ต้องมีเลื่อมสักเม็ด แม้กระทั่ง Meghan ซึ่งตอนนี้เราต้องเรียกเธอว่า Duchess of Sussex ก็เลือกที่จะใส่ชุดฉลองพระองค์แต่งงานแบบเรียบๆ จากแบรนด์ Givenchy และชุด After Party โดย Stella McCartney ที่เป็นเดรสผ้าเฉลียงแบบง่ายๆ ก็สามารถบ่งบอกได้ดีถึงรสนิยมที่เรียบง่ายแต่สง่างามของเธอได้เป็นอย่างดี สำหรับผม Princess Meghan คือตัวแทนของความหรูหรา สง่างามแบบสมัยใหม่แบบที่ทุกคนควรเรียนรู้ว่าแท้ที่สุดแล้วความสง่า (Grace) หาต้องการความโฉ่งฉ่างไม่ ทั้งที่น่าจะคำนึงถึงคือ Simplicity (ความเรียบง่าย), Effortless (ความไม่ประดิษฐ์) และ Timeless (ความสวยเหนือกาลเวลา) สามคำนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญในการมองหาชุดแต่งงานที่สวยตามแบบฉบับของสาว Iconic ได้เป็นอย่างดีกว่าความเอะอะเป็นไหนๆ ครับ
ผมว่าความหรูหราที่แท้จริงสุดท้ายคือความเรียบง่ายที่ลงตัว และดูเป็นธรรมชาติ หมดสมัยสาวประดิษฐ์แล้วครับ เชื่อผมเถอะ ว่าคุณจะเป็นเจ้าสาวในเร็วๆ นี้ ลองเริ่มต้นทำการบ้านนะครับ ที่สำคัญ Enjoy the moment เพราะคุณควรมีความสุขกับวันสำคัญของคุณ Happy Bride to Be กันถ้วนหน้านะครับ และพบกันใหม่ฉบับหน้าครับ
ขอบคุณภาพจาก Pinterest
Story by polpat asavaprapha