หากใครเป็นคนที่ติดตามข่าวสารเรื่องสิ่งแวดล้อม คงเคยได้ยินมาบ้างว่าประเทศไทยของเราติดอันดับที่ 6 ของประเทศที่ปล่อยขยะลงสู่ทะเลมากที่สุดในโลก ปีๆ หนึ่งไม่ต่ำกว่าล้านตัน และหากเรายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป อนาคตเราคงไม่เหลือท้องทะเลสวยๆ ไว้ให้ใครได้ชื่นชม สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องตระหนักถึงปัญหาและหันมาช่วยกันแก้ไข ซึ่งโชคดีที่มีบุคคลคนหนึ่งที่เขาได้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และลงมือทำทันที โดยเริ่มต้นง่ายๆ จากสองมือของเขาเอง กับ คุณทราย สก๊อตที่เราไม่รู้จะให้เครดิตเขาว่าอะไรดี เพราะเขาเป็นทั้งผู้ริเริ่มโครงการ SEA YOU STRONG, เป็นทั้งหัวหน้าแก๊งค์เด็ก(ริมทะเล)และบ่อยครั้งก็แปลงตัวเองไปเป็นคนเก็บขยะ หรือบางทีเขาก็บอกกับเราว่าเขาคิดว่าตัวเองเป็นโจรสลัด แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร เรารู้สึกประทับใจในสิ่งที่เขาเป็นจนทำให้เกิดบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ขึ้น
คุณทราย สก๊อต มีชื่อจริงว่า สิรณัฐ เป็นหลานชายคนเล็กของ คุณจำนงค์ ภิรมย์ภักดี สมัยเด็กเขาเริ่มเรียนที่โรงเรียนอนุบาลเธียรประสิทธิศาสตร์ จากนั้นไปเรียนที่โรงเรียนบางกอกพัฒนา ก่อนจะไปเรียนปริญญาตรีทางด้านอนิเมชั่น ที่ California Institute of the Arts ปัจจุบันเขาทำงานในตำแหน่ง Assistant Manager, PR and Marketing Strategic Planning ของบริษัท Singha Estate Public Company Limited นี่เป็นเพียงเรื่องราวไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวเขา เพราะสิ่งที่เขาทำแล้วเรารู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่จะเป็นเรื่องราวอีกหลายเปอร์เซ็นต์ที่เหลือต่อจากนี้…
“เมื่อก่อนทรายไม่ได้เข้าใจตัวเองแบบนี้ ทรายแค่รู้สึกว่าทรายเริ่มเบื่อการวาดรูป ทรายเริ่มอยากเห็นโลกข้างนอกแล้ว เพราะวันๆ ทรายนั่งอยู่ในห้องวาดรูป 10-12 ชั่วโมงไม่ได้ไปไหน ร่างกายทรายไม่มีความสุข ทรายจึงพยายามผลักตัวเองออก เพราะทรายคิดว่าทรายอยู่ในกรอบเกินไป ทรายจึงไปเริ่มเรียนปริญญาโท เกี่ยวกับวิดีโอเกมส์ที่อังกฤษเรียนแค่เดือนเดียว ทรายก็ลาออก เพราะว่าเบื่อ ทรายรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทาง ทรายคิดว่าทรายได้บทเรียนในชีวิตมาหลายอย่างแล้ว และการที่ทรายไปเรียนแบบนั้นมันทำให้ทรายเรียนซ้ำๆ ทั้งๆ ที่มันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ในชีวิต จากนั้นทรายก็กลับมาที่เมืองไทย และมาอยู่ที่หัวหิน ทรายชอบอยู่ที่นี่มาก เวลาทรายอยากวิ่งบนหาด ทรายอยากว่ายน้ำ ทรายก็ปล่อยให้ตัวเองทำตามธรรมชาติ และมีอยู่วันหนึ่งทรายไปเล่นดินบนชายหาดแล้วไปเห็นขยะ ตอนนั้นรู้สึกว่า ทำไมมีขยะเยอะแบบนี้ ก็เลยเดินไปเก็บไป แล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกมีความสุข มันมีความสุขมาก คือทรายรู้สึกว่าทรายกำลังทำอะไรบางอย่างที่มันตอบโจทย์ชีวิต
“สำหรับทรายการเก็บขยะคือ การที่ทรายเห็นอะไรที่มันผิด แล้วทรายเอามือทรายไปจับต้องแล้วลงมือทำเอง และระหว่างที่ทรายเดินเก็บขยะหากมีคนอื่นที่เขาเห็นทรายเดินเก็บ แล้วมันมีขยะที่เท้าเขา แล้วเขาก็ถ่ายรูปกันต่อ คือไม่ช่วยทรายเก็บ และไม่คิดจะหยิบขยะส่งให้ ทรายจะตื่นเต้นมากและรู้สึกว่ามันท้าทาย เพราะการที่คนไม่สนใจ ทรายจะต้องทำอะไรสักอย่างให้คนรู้ถึงปัญหาของขยะ ทรายเป็นคนที่นั่งเฉยๆ และเก็บความคิดไว้ไม่ได้ ต้องลงมือทำเลย มันจึงกลายเป็นงานตั้งแต่ตอนนั้นมา และเป็นอะไรที่ทรายชอบมาก เพราะมันเป็นงานที่ทรายเอาความชอบในชีวิตทรายใส่รวมเข้าไปได้ เช่น ถ้าเกิดทรายอยากออกกำลังกาย ทรายจะไปเก็บขยะที่เขาตะเกียบซึ่งมันต้องปีน และมันสนุก เพราะว่าขยะมันอยู่ในซอก และมันตลกดีนะที่ได้เห็นว่ามีกล่องโฟม รองเท้า พวกอุปกรณ์ตกปลา น้ำยาปรับผ้านุ่ม อะไรที่แปลกๆอยู่ที่นั่นได้หมดเลย และนี่ก็ทำให้ทรายสนใจว่ากระบวนการจัดการขยะของประเทศเรามันเป็นยังไง เพราะว่าของที่ทรายเห็น มันไม่ใช่ของที่มาจากนักท่องเที่ยว แสดงว่ามันต้องมีตรงไหนในกระบวนการที่ตั้งแต่เราทิ้งขยะลงในถังขยะแล้วเราส่งต่อให้รถเก็บขยะนำไป ต้องมีอะไรที่มันหลุดแล้วทำให้ขยะมันลอยมา นี่เป็นอีกสิ่งที่ผลักดันทรายเพิ่มเข้าไปว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง
“แล้วทรายเริ่มคิดได้ว่าถ้าเราจะสื่อสารกับเขา วิธีที่จะทำให้คนรักทะเลมากขึ้น คือเขาต้องทราบบทบาทของทะเลในโลกของเรา เพราะทะเลเป็นแหล่งเก็บคาร์บอนประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ที่เราผลิต 50 เปอร์เซ็นต์อยู่ในอากาศที่ทำให้โลกร้อนขึ้น อีก 25 เปอร์เซ็นต์อยู่ในป่า เพราะใบไม้เขาต้องการในการสังเคราะห์แสง สำหรับทะเลเมื่อได้รับคาร์บอนมากขึ้นก็ทำให้ร้อนขึ้น เป็นพิษมากขึ้น เพราะมันเป็นกรด ของแบบนี้มันกระทบปะการัง ซึ่งปะการังจะอยู่ไม่ได้กับอุณหภูมิทะเลที่มันสูงขึ้นร้อนขึ้น และปะการังมันสำคัญมากเพราะมันเป็นแหล่งกำเนิดของสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด มันมีความหลากหลายในสิ่งมีชีวิตมาก ซึ่งทุกอย่างมันกระทบเราหมดทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ทรายหันมาสนใจและลงมือทำสิ่งเหล่านี้ เพราะทรายคิดว่าทุกอย่างเริ่มต้นได้ที่ตัวเอง ทรายจึงอยากไปปลูกฝังเด็กๆ เกี่ยวกับการดูแลธรรมชาติ”
SEA YOU STRONG
“ครั้งหนึ่งทรายมีโอกาสได้ไปที่อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ซึ่งน่าจะเป็นอีกสถานที่ที่สวยมากๆ ของเมืองไทยแต่สิ่งที่ทรายเห็นคือ ขยะตรงนั้นมันเยอะมาก ทรายเลยคิดว่าทรายจะต้องพาคนมาเพิ่ม ทรายจึงได้ชวนเด็กๆ จากโรงเรียนแถวนั้น และเพื่อนๆ ที่อยู่หัวหินมาช่วยกันเก็บนี่คือจุดเริ่มต้น จากนั้นทรายมีโอกาสไปเที่ยวที่กระบี่ ทรายบอกทัวร์ไกด์ว่าทรายเห็นของสวยพอแล้ว ตอนนี้พาทรายไปดูหาดที่มีคนอยู่หน่อยว่ามันเป็นแบบไหน ซึ่งหาดที่ไกด์พาทรายไปดู ขยะมันเยอะมากชายหาดเต็มไปด้วยขยะ ทรายก็คิดว่าจะทำยังไงดี ทรายเก็บคนเดียวคงไม่ได้ ทรายจึงได้ปรึกษาคุณลุง (คุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี) ว่าทรายอยากทำงานตรงนี้ อยากชวนโรงเรียนมาช่วยทำ ต้องทำอย่างไรแบบสิงห์อาสาจึงเกิดเป็นโครงการ SEA SAND STRONG ที่อยู่ภายใต้ SEA YOU STRONG เราก็ไปเก็บขยะที่หาดนั้นประมาณ 6 ครั้ง และทุกงานจะมีโรงเรียนเข้าร่วมประมาณ 10 กว่าโรงเรียน คือโรงเรียนในพื้นที่อย่างเดียวทรายชอบใช้เวลากับคนธรรมดา ทรายคิดว่าใจเขาสู้มาก เขาไม่บ่น เด็กๆ เขาสู้ตาย ซึ่งทรายชอบมากเพราะว่าเราสู้ไปด้วยกัน คือมีครั้งหนึ่งเดินเก็บขยะกัน ในใจทรายเริ่มเหนื่อยแล้ว ทรายเลยลองถามเด็กๆ ไปว่า ไหวป่าว เด็กๆ ก็ตอบว่าไหวๆ ถ้าเกิดพี่ทรายไหว พวกเราก็ไหว ทรายก็เลยโอเคไปต่อ คือทุกงานเราต้องเก็บประมาณสองกิโลเมตรให้หมด แล้วเด็กๆ ก็ทำได้ และเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการแยกขยะด้วย
“บางครั้งหลังจากที่ทรายทำงานเสร็จมักจะมีคนมาบอกว่าเก็บไปแล้วเดี๋ยวมันก็กลับมา ทรายไม่อยากให้คนมองแบบนั้นเลย ทรายอยากให้คนรักธรรมชาติ อยากสู้อยากเหนื่อยเพื่อธรรมชาติ คือถ้าเขาทำตรงนี้ได้ เขาเอาใจไปทำงานต่อๆ ไปได้ และถ้าเกิดมีใครจะเอาหลอดน้ำให้เขา เขาเหนื่อยมาแล้ว เขาก็จะปฏิเสธ คือฉันรักธรรมชาติพอที่จะไม่ทำแบบนี้ ทรายอยากสอนให้เด็กๆ สู้เพื่ออนาคตของธรรมชาติที่บ้านเขา
“ในการเก็บขยะแต่ละครั้งเราเริ่ม 9 โมงเช้า เสร็จประมาณ 4 โมงเย็นครับ โดยจะแบ่งเป็น 2 พาร์ท พาร์ทละชั่วโมงครึ่ง เราจะมีอาหารเที่ยงให้เด็ก และจะมีวิทยากรมาบรรยายให้เขาเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ และเห็นความสำคัญของการแยกขยะ ทรายชอบทำงานตรงนี้มาก เพราะทรายได้มีโอกาสไปเจอคนใหม่ๆ ทรายได้เจอกับเด็กๆ ทรายชอบทำงานกับเด็ก เพราะเขารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เขายังไม่มีเหตุผลของผู้ใหญ่ที่มันลึกลับ เด็กๆ เขาเห็นขยะแล้วเขารู้เลยว่ามันไม่ดี นอกจากนี้ทรายอยากให้พวกเขาได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เขามีอยู่ และสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมของเขา
มองตัวเองในอนาคต
“ทรายอยากเป็นเหมือนไอดอลทรายครับ ผู้หญิงคนนี้ชื่อ Jane Goodall (เจน กูดดอลล์) เขาไม่ได้มาจากแบล็กกาวน์วิทยาศาสตร์ แต่เขาเป็นคนที่สนใจ และสังเกต วันหนึ่งมีคนส่งเข้าไปให้สังเกตพฤติกรรมของลิง ก่อนที่คนจะรู้วว่าลิงมันมีอารมณ์และมีคุณภาพคล้ายมนุษย์ ทำให้คนเข้าใจว่า ลิงกับมนุษย์ มาจากสายเดียวกัน ทรายชอบเขาเพราะเขาไม่ได้ใช้แนววิเศษอะไร เขาใช้การสังเกตด้วยตัวเอง ทรายคิดว่าการที่คนจะมานั่งสังเกตแล้วรู้สึกกว่าลิงมันรู้สึกอย่างไร เขาต้องรู้จักใจตัวเอง และเขาก็บอกเสมอว่าโลกของเราตอนนี้ การแก้ไขปัญหาคือ การใช้ Empathy ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความรู้สึกร่วมในสิ่งที่คนอื่นกำลังรู้สึกอยู่ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทรายชอบสิ่งที่เขาคิด”
ทรายกับทะเล
“ทะเลมันคือชีวิตของทราย ทรายอึดอัดมากเวลาที่ทรายอยู่ในเมือง มีครั้งหนึ่งที่ทรายต้องมาอยู่กรุงเทพฯ ประมาณหนึ่งอาทิตย์ พอเริ่มเข้าอาทิตย์ที่สองทรายเครียดมาก ทรายเครียดจนกินอาหารไม่ได้ ตอนนอนทรายต้องเอาเบาะที่ริมสระน้ำไปลอยนอนในน้ำ คือ ทรายคิดถึงดาว คิดถึงพระจันทร์ คิดถึงทะเลมาก มันไม่ไหว หัวหินคือถิ่นทะเลของทราย ทรายเสียเหงื่อกับการอนุรักษ์หาดตรงนั้นเยอะมาก” (ยิ้ม)
ความสุข ณ วันนี้
“ความสุข ในวันนี้คือการที่ได้เป็นตัวเอง และได้ทำงานที่มันมีความสุข 100 เปอร์เซ็นต์ ทรายไม่ได้รู้สึกว่าตื่นมาแล้วทรายจะต้องฝืนอะไร ทรายว่าที่งานทรายสำเร็จ เพราะทรายชัดเจนด้วย ทุกอย่างที่ทรายทำมันเหมือนแก้วใสใสไม่แอบอะไร เป็นอย่างไรเป็นแบบนั้น และทุกอย่างที่ทรายทำทรายรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นแค่ความชอบของทราย แต่มันคือหน้าที่ของทรายด้วยครับ”
Photo By : Prayuth
Author By : Arunlak