บนโลกใบนี้ คงไม่มีใครที่จะสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของชีวิตได้ เราทุกคนล้วนมีหน้าที่เพียงตั้งรับกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะรับมือกับเรื่องราวต่างๆ ได้ดีเพียงใด หรือในรูปแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง และทัศนคติที่เราใช้ในการดำเนินชีวิตนั่นเอง สำหรับสุภาพสตรีท่านนี้ เป็นคนหนึ่งที่ต้องรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึง แต่ที่สุดแล้วเธอก็ผ่านมาได้ด้วยการเผชิญหน้ากับความเป็นจริง กับ คุณแอร์ – ปวิตา โตทับเที่ยง คุณแม่คนเก่งของลูกๆ ทั้ง 4 คน
HiSoParty ฉบับพิเศษครบรอบ 19 ปีนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยสัมภาษณ์กับคุณแอร์ ถึงเรื่องราวการใช้ชีวิต และความรับผิดชอบในหลากหลายหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการดูแลครอบครัวที่เธอรัก รวมถึงวิธีก้าวผ่านเรื่องยากๆ ในชีวิต ที่เธอผ่านมาได้ด้วยวิธีคิดของเธอเอง...
การทำงาน
“ปัจจุบันแอร์ได้เข้ามาช่วยธุรกิจของครอบครัวสามี (คุณไกรเสริม โตทับเที่ยง) คือบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) หรือที่ทุกคนรู้จักในนาม ‘ปุ้มปุ้ย’ ซึ่งปีนี้ปุ้มปุ้ยมีอายุ 44 ปีแล้วค่ะ จะว่าไปก็อายุพอๆ กับแอร์และไกรเสริมนะคะ บริษัทได้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2522 โดยคุณสุธรรม โตทับเที่ยง (คุณพ่อของคุณไกรเสริม โตทับเที่ยง) โดยร่วมก่อตั้งกับน้องเขย สามีของคุณสุภัทรา สินสุข ผู้เป็นน้องสาว ย้อนไปสมัยก่อนปุ้มปุ้ยเป็นที่รู้จักจากการโปรโมทผ่านวิทยุ ผ่านโทรทัศน์ ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาทางลูกค้า อาจจะรู้สึกว่า ปุ้มปุ้ยเงียบหายไป ซึ่งในยุคปัจจุบันวิธีการสื่อสาร อาจจะมีช่องทางเพิ่มมากขึ้น เช่นสื่อออนไลน์ต่างๆ และหลังจากที่ไกรเสริมเสียชีวิต แอร์ได้เข้ามาช่วยธุรกิจเต็มตัวในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ซึ่งสิ่งที่ปุ้มปุ้ยกำลังจะทำต่อไปคือ การสร้าง Brand Awareness ให้ทุกคนกลับมารับรู้และได้ยินมากขึ้น โดยช่องทางการสื่อสารจะมีตั้งแต่ออนไลน์ ออฟไลน์ แล้วจะให้มีการสื่อสารที่เพิ่มมากขึ้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายค่ะ”
‘ปุ้มปุ้ย อร่อยที่รอยยิ้ม’
“ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์ปุ้มปุ้ย รากฐานคือ เจเนอเรชั่นที่ 1 เป็นรุ่นคุณพ่อของคุณสุธรรม โตทับเที่ยง ท่านได้ปูรากฐานมาไว้อย่างดี ฉะนั้นแบรนด์ของเราค่อนข้างแข็งแกร่งมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานโรงงาน คุณภาพของสินค้า ค่อนข้างแข็งแรงในภาพรวม แล้วทีนี้ด้วยความที่บริษัทของเรามีผลิตภัณฑ์อาหารอีกหลากหลายสินค้า ซึ่งคนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่ปลาในซอสมะเขือเทศ อย่างเช่น ปลาแมคเคอเรล, ปลาซาร์ดีนคัดพิเศษ แต่ว่าจุดเด่นอีกอย่างของเราคือ การถนัดเรื่องการปรุงรสชาติ โดยสินค้าที่ครองใจผู้บริโภค และเป็นที่รู้จักก็อย่างเช่น ปลาราดพริก หอยลาย แล้วก็ปลาทอด กลุ่มนี้จะเป็นสินค้าตัวหลักที่เรียกว่าเป็นอันดับ 1 ในท้องตลาด แต่นอกเหนือจากสินค้าเหล่านี้ เรายังมีสินค้าอีกหลายตัวที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นข้าวสวยกระป๋อง หรือว่าอาหารพร้อมทาน อย่างเช่น ไข่พะโล้ใส่ไก่, แกงมัสมั่นไก่, ไก่ผัดกระเทียมพริกไทย, ผัดกะเพราไก่ และกับข้าว อีกหลากหลายเมนู ที่เพียงแค่ฉีกซองก็ทานได้เลย เพิ่มความสะดวกสบาย แล้วก็ง่ายกับการบริโภค แล้วยังสามารถเก็บไว้ทานได้ รวมถึงมีสารอาหารที่ค่อนข้างเยอะอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีน้ำแกงพร้อมปรุง และในส่วนหอยลายทอดรสเผ็ดที่เป็นที่นิยมอยู่แล้ว ตอนนี้เราได้ทำเพิ่มออกมาอีก 4 รสชาติ ได้แก่ คั่วกลิ้งหอยลาย, หอยลายผัดขี้เมา, หอยลายผัดฉ่า, หอยลายผัดน้ำพริกเผา เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นค่ะ และด้วยความที่เรามีอาหารพร้อมทานหลากหลาย ล่าสุดแอร์จึงได้จัดชุดเสริมบุญ โดยนำผลิตภัณฑ์มาจัดเซ็ตเพื่อให้คนนำไปทำบุญได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ถ้าพระท่านฉันไม่หมดท่านก็เก็บไว้ได้โดยที่ไม่ต้องไปปรุงเพิ่มหรือว่าต้องไปทำสุกให้ยุ่งยาก ซึ่งในเซ็ตนี้ ณ ตอนนี้เราขายอยู่ที่ราคา 69 บาท เป็นราคาที่จับต้องได้ โดยภายในเซ็ตจะมีข้าวสวยกระป๋อง มีอาหารพร้อมทาน เช่น พะโล้ กะเพราไก่ มัสมั่นไก่มีปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ สีชมพูคัดพิเศษ แล้วก็มีน้ำดื่ม 1 ขวดสำหรับชุดนี้สามารถหาซื้อได้ทางช่องทางออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Shopee Lazada หรือว่า JD Mall ของเซ็นทรัล และทาง Official Line Add ของปุ้มปุ้ย รวมถึง Facebook Pumpuibrand และเวบไซต์ตรงของเราค่ะ
แบ่งเวลาการทำงานกับการดูแลลูก
“แอร์ทำงานเป็นปกติ Office hour ตอนเช้าเราส่งลูกเสร็จ จะทานกาแฟกับเพื่อนช่วงเช้านิดหน่อย เพราะว่าลูกเราไปโรงเรียน 7 โมงซึ่งเป็นเวลาที่ค่อนข้างเช้า ทำให้มีเวลาเหลือก่อนจะไปทำงานเต็มเวลา และด้วยตอนนี้ลูกๆ เข้าโรงเรียนหมดแล้ว ฉะนั้นในช่วงเวลาที่เขาเข้าโรงเรียนเราก็ทำงาน มันก็จัดสรรไปโดยปกติค่ะ เขาก็มี After School อะไรไป กลับมาเราก็มาเจอกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน มันก็เป็นการแบ่งเวลาที่ชัดเจนไปโดยปริยายค่ะ ซึ่งเรากับลูกๆ ก็ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่ไกรเสริมยังอยู่ เขาก็แบ่งเวลาแบบนี้ คือพอเลิกงานก็กลับบ้านแล้วให้เวลากับลูกเต็มที่ และในช่วงที่โรงเรียนปิดเราก็พากันไปต่างจังหวัด เพื่อให้ลูกๆ เขามีประสบการณ์อย่างอื่นมากขึ้นนอกจากห้องเรียนค่ะ”
4 ดวงใจของครอบครัว
“แอร์มีลูกทั้งหมด 4 คน คนโตชื่อ น้องจิตา - ด.ญ.จิรสิตา โตทับเที่ยง คนที่สองน้องจีน่า - ด.ญ.จีนาชิตา โตทับเที่ยง คนที่สาม น้องจินด้า - ด.ญ.จิญดารตา โตทับเที่ยง และคนสุดท้อง น้องจอมทัพ - ด.ช.จอมทัพ โตทับเที่ยง สำหรับลูกสาวคนโตบุคลิกคือมีความเป๊ะ ชอบอ่านหนังสือ ชอบค้นคว้าวิจัย ชอบหาความรู้เอาเอง เวลาเขาสนใจอะไรสักอย่างจะลงรายละเอียดแบบลึก ๆ เลยค่ะ เป็นเด็กเรียนหนังสือเก่ง แล้วก็มีความรับผิดชอบมาก ดูแลน้อง ๆ ได้ดี แล้วก็รับผิดชอบตัวเองได้ดี อันนี้ก็หายห่วงค่ะ ส่วนคนที่สองจะเป็นแนวกระฉับกระเฉง ชอบสังคมหน่อย (หัวเราะ) ช่วงนี้เริ่มเข้าวัยรุ่นแล้ว จะมีความเป็นส่วนตัวสูง คนที่สามน้องจินด้า จะมีความละเอียดและมีความเป๊ะเหมือนกัน ถ้าน้องชายทำน้ำหยดหยดหนึ่งก็จะไม่ได้นะ ต้องมาเช็ดนะ รายละเอียดเขาจะเยอะ คนที่สี่ จอมทัพเขายังเด็ก เหมือนยังเป็นน้องของพี่ๆ เป็นน้องชายคนเดียว เขาชอบดนตรี ชอบตีกลองบอกว่าให้พี่ๆ เรียนเปียโน ผมจะเล่นกลอง เขาจะมีความชัดเจนตั้งแต่ต้น ลูกๆ ทุกคนเขาจะสนิทกันเป็นคู่ๆ คงด้วยอายุที่ใกล้กัน เขาจะเป็นบัดดี้ให้กันและกันค่ะ”
วิธีการเลี้ยงลูก
“ทุกวันนี้การเลี้ยงลูกสำหรับแอร์คงจะเป็นการที่ให้เขาช่วยเหลือตัวเองให้เยอะที่สุด แม่ไม่อยากเข้าไปช่วยเยอะ เราดูห่างๆ คอยมอง คอยดูว่าไม่ให้อันตราย แต่ที่สุดแล้วก็ให้เขาคิดเอง แก้ปัญหาเอง ทำอะไรเองให้ได้เยอะที่สุดนี่แหละ เพื่อให้เขาเรียนรู้ดูแลตัวเองให้ได้ ซึ่งแอร์ให้เขาลองคิดเองโดยที่แม่ไม่ได้เข้าไปช่วยคิด ให้เขาได้ลองทำทุกอย่าง บางทีอาจจะบอกว่าให้มาช่วยเราด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็มองดูเขาอยู่ตลอด เพียงแค่ว่าให้เขารู้จักคิดแก้ปัญหาของเขาไปด้วยตัวเอง ซึ่งหากเขาต้องการความช่วยเหลือจริงๆ เราก็พร้อมเข้าไปซัพพอร์ตในทันที”
กฎเหล็กของครอบครัว
“ครอบครัวเราไม่มีกฎอะไร เพราะตารางกิจกรรมในแต่ละวันทำเป็น Routine อยู่แล้ว ทุกคนต้องรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้ได้ดี ให้ได้ก่อน ทุกคนต้องรับผิดชอบในการเรียนหนังสือ การทำการบ้านโดยที่แม่ไม่ต้องบอก ถึงเวลา ไม่เคยจะต้องมานั่งบอกว่าทำการบ้านหรือยัง ไม่ต้องถาม ดูแลตัวเองให้ได้ เพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยมีการว่ากันเท่าไร ถ้าเขาสามารถรับผิดชอบตัวเองได้ก็โอเค จบที่เหลือเป็นเวลาพักผ่อน ใครอยากทำกิจกรรมส่วนตัวอะไรก็ทำแล้วแต่เขา พอถึงเวลาทานข้าว ทาน ถึงเวลาตื่นไปโรงเรียนก็ตื่น ทุกวันนี้ลูกๆ แอร์ตื่นกันเอง ตั้งนาฬิกาปลุกเอง โดยที่ไม่ต้องให้แม่ปลุก แม้กระทั่งคนเล็กก็จะเป็นพี่สาวไปปลุก พี่สาวเป็นคนไปปลุกน้อง คือพี่ดูแลน้องได้แล้ว อย่างเวลาเขาทะเลาะกัน เราก็ไม่ได้เข้าไปห้ามศึกนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นพี่ๆ น้องๆ เขาคุยกัน เขาจะคุยกันด้วยเหตุผล ถ้าเป็นในพาร์ตของแอร์ แอร์ก็จะบอกว่า ไม่เข้าข้างใคร เอาเป็นว่าให้ขอโทษทั้งสองคน และเข้ามากอดกัน ส่วนใหญ่แอร์จะทำแบบนั้น พอเขาเข้ามากอดกันปุ๊บ ก็หัวเราะ ดีกันลืมเรื่องที่ทะเลาะกันแล้ว”
เราต้องดูแลตัวเองให้ดี
“ในฐานะที่เราเป็นแม่ เราไม่ได้เข้าข้างใคร หรือแม้กระทั่งเขามีเรื่องมาฟ้อง บอกว่าคนนี้เขาทำหนูแบบนี้ๆ เขาเตะบอลมาโดนหนู เราจะบอกและสอนเขาว่าก่อนที่จะไปว่าคนอื่น เราต้องกลับมาดูก่อนว่าจุดที่เราไปยืนอยู่มันอยู่ในจุดที่เขาอาจจะเตะมาโดนไหม เราต้องระวังตัวเอง ไม่ใช่เราไปตัดสินจากคนอื่น เราดูตัวเองก่อนว่าเราดูแลตัวเองดีหรือยัง เราต้องป้องกันตัวเองก่อน เราต้องไม่อยู่ในจุดที่เสี่ยง เขาเล่นอยู่เราอย่าไปอยู่ตรงนั้นก่อนไหม อันนี้เหมือนกับสอนวิธีคิดว่าในอนาคตเราก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน คือเราต้องดูแลตัวเอง ไม่พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่มันอันตราย แอร์ว่ามันใช้ได้กับทุกเรื่องจวบจนเขาโตขึ้น”
วิธีการทำโทษ
“แอร์เป็นคนพูดคำไหนคำนั้นมากกว่า อย่างเช่น ลูกเล่นมือถือเราจะต้องเตือนเขาก่อน เราไม่บอกว่าหยุดเล่นเดี๋ยวนี้ แต่เราจะบอกว่าหม่ามี๊ให้เวลาเล่น 10 นาที แล้วเขาก็ตั้งเวลาในโทรศัพท์เอง ถึงเวลา10 นาทีแล้วเลิก ถ้าทำแบบนี้คราวหน้าได้ดูอีก แต่ถ้าไม่เลิกคราวหน้าก็ไม่ได้ดูแล้วนะ แล้วเขาก็จะรู้กฎระเบียบ โดยที่เราไม่ต้องมาทะเลาะกัน”
ความคาดหวัง
“ตอนนี้ไม่คาดหวังเลย แล้วก็ไม่ได้จะให้เขาต้องมาช่วยงานครอบครัวของที่บ้านด้วย เราอยากเปิดโอกาสให้กับลูกๆ แล้วมาดูว่าเขาอยากจะทำอะไร แต่ถ้าสุดท้ายเขาอยากจะมาช่วยงาน อันนั้นก็แล้วแต่แต่ละคนว่าอยากจะเลือกทำอะไร ให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตของเขาและหาตัวตนของเขาด้วยตัวเอง”
หลักการทำงานและใช้ชีวิต
“หลักในการทำงานบางส่วน และวิธีคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้าม ขอยกตัวอย่าง คือการดูแลพนักงานกับการดูแลลูกมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือไม่ปิดกันความคิด สิ่งที่เขาทำหรือพูดความคิดเห็นที่บอกออกมานั้นไม่มีอะไรถูกอะไรผิดอยู่ที่แต่ละคนว่ามองมุมไหน ถ้าอะไรที่ทำไปแล้วยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ก็นำมาประเมินและทำใหม่ การที่เราเปิดรับทุกความคิดจะทำให้ทุกคนกล้าคิดและกล้าทำ กล้าเสนอกล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ แต่อยู่บนพื้นฐานของการวางแผนที่ดีและไตร่ตรองอย่างรอบคอบค่ะ”
ย้อนไปในวันที่ ‘เธอไม่อยู่’
“แอร์เป็นคนซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง ให้เวลาตัวเองเสียใจให้เต็มที่ ตอนร้องไห้ก็ร้องอยู่นั่น เพื่อนบอกว่าถ้าหากเราไม่อยากสะเทือนใจ เราไม่ต้องให้ความทรงจำเก่าๆ มันขึ้น Feed ได้นะ คือไม่ต้องให้เด้งเตือนขึ้นมาได้ว่าเมื่อปีที่แล้วเราทำอะไรกัน เราบอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร เราจะอยู่กับมันให้ได้นั่นแหละ แม้เราจะคิดถึงเขาแค่ไหน เราก็จะคิดถึง จนเราผ่านมันไปให้ได้ เราลืมเขาไม่ได้หรอก แต่ว่าเราก็จะหาความสุขจากตรงนั้น เราจะปรับตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าอยากร้องไห้เราก็จะร้องออกมาเลย ถ้าลูกเห็น ก็จะบอกว่านี่แหละแม่กำลังเสียใจ ทุกคนต้องเจอเรื่องที่เสียใจ แต่แม่ร้องไห้ 2 วันแล้ว แม่ก็มูฟออน แล้วเราก็ไปต่อ จำได้ว่าวันนั้นคือวันที่รู้ว่าไกรเสริมเป็นมะเร็ง และอีกวันคือวันที่เขาเสีย เราก็บอกลูกว่าพ่อเสียแล้วแม่อาจจะร้องไห้นานหน่อยนะ แม่อาจจะเสียใจนานหน่อย สุดท้ายแม่จะกลับมาเข้มแข็งแล้วก็เดินต่อไปแต่อาจจะใช้เวลา ซึ่งคนเราอาจจะใช้เวลาไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นลูกๆ เองเขาจะได้เรียนรู้ว่าวันหนึ่งที่เขาเจอปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไร แน่นอนมันต้องเสียใจอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่เสียใจ แต่แล้วเราก็ต้องกลับมามีความสุขให้ได้เพื่อใช้ชีวิตต่อไป”
มองหาข้อดีในเรื่องร้าย
“มีครั้งหนึ่ง ลูกสาวคนที่สองโดนน้ำมันร้อนๆ ลวก ผิวหลุดทั้งแขนเลย เราบอกลูกว่าให้หาข้อดีของมัน เขาถามว่าข้อดีของมันคืออะไรหม่ามี๊ มันเป็นข้อดีได้ยังไง เราบอกว่า “จีน่า โชคดีนะที่วันนั้นหม่ามี๊อยู่ด้วย ถ้ามันเกิดขึ้นตอนที่จีน่าไปเรียนต่อไปเมืองนอกอยู่คนเดียว ไม่มีหม่ามี๊อยู่ใครจะพาจีน่าไปหาหมอ วันนี้จีน่ามีหม่ามี๊พาไปหาหมอได้ แล้วจีน่ารู้ว่ามีเจเจ้ที่ช่วยปฐมพยาบาลที่ถูกวิธีนะ...” เอาจริงๆ ทุกอย่างมันก็มีมุมดีถ้าเราจะมอง ถามว่าคุณพ่อเสียแล้วยังไง เกิดอะไรขึ้น มันมีข้อดีเหรอหม่ามี๊ แน่นอนมันก็ไม่มีอยู่ดี เราก็บอกเขาว่า “...เมื่อก่อนเราอยู่แค่ครอบครัวเรา แต่ว่าตอนนี้เราน่ะได้อยู่กับหลายๆ คน ได้อยู่กับญาติๆ เราได้เรียนรู้มากขึ้น เราได้ไอเดียความคิด และเรามีคนอื่นมาสอนมาดูแลเราเยอะขึ้น โลกเราก็กว้างขึ้นนะลูก และที่ผ่านมาปะป๊าเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เรามีแบบอย่างในการดำเนินชีวิตต่อไป...” เราบอกเขาแบบนี้ ให้เขาเห็นข้อดีในสิ่งที่มีอยู่ และหากวันหนึ่งเขามีกิจกรรมที่โรงเรียน คนอื่นมีพ่อไป เราก็จะบอกเขาว่า ตอนนี้หม่ามี๊น่ะเป็น 2 in 1 คนอื่นเขาไปตั้งสองคน แม้หม่ามี๊ไปคนเดียว แต่ว่าพ่อกับแม่อยู่ในตัวคนคนเดียวกัน”
มีสติกับทุกๆ วัน
“ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงสัจธรรมของชีวิตได้ คนเราเกิดมาวันหนึ่งก็ต้องตาย นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ วันหนึ่งเราทุกคนต้องจากกันแต่พอดีว่ามันใกล้เรา เราได้เจอก่อน ทำให้เราเห็นสัจธรรมนี้ก่อน ทำให้เห็นว่าทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สินสมบัติเงินทองต่างๆ สุดท้ายก็ต้องตายจากมันไปเหมือนกัน เรื่องที่เกิดขึ้นสอนให้เราปล่อยวางได้มากขึ้น แล้วก็รู้ว่าทุกวันนี้ควรใช้ชีวิตอย่างไร มันทำให้เราเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น และใช้เวลาในทุกๆ วันแบบมีสติมากขึ้น”
ใช้ทุกนาทีให้มีความหมาย
“ก่อนที่ไกรเสริมจะเสีย เราต่างให้กำลังใจกันตลอด และแอร์เป็นคนพยายามไม่ตั้งข้อแม้กับชีวิตให้มากเกินไป ยกตัวอย่างบางคนบอกว่า จะไปเมืองนอกทีต้องวางแผนยาวๆ สำหรับแอร์ในบางเรื่องก็แพลนนะ เรื่องงานก็แพลน แต่บางเรื่องถ้าเราพอมีเวลาเราทำเลยอย่างเช่น ตอนที่ไกรเสริมรักษาตัว และได้ออกจากโรงพยาบาล 10 วัน แอร์ก็พาไปหมดเลย ไปดำน้ำที่สิมิลัน แม้เป็นเวลาสั้นๆ แค่ 3 วันเพราะลูกต้องกลับมาเรียนเราก็ไปกัน มองย้อนกลับไปในวันนั้นเราไม่เสียใจเลย กลับกันถ้าวันนั้นเราไม่ได้ทำ เราจะเสียดายนะ ถ้าตอนนั้นเรามัวแต่รอให้หายก่อนเดี๋ยวค่อยไป เราอาจจะไม่ได้ทำ แอร์เป็นคนที่ทำอะไรได้เราก็จะทำให้เต็มที่จะได้ไม่เสียใจทีหลัง”
ความสุข ณ วันนี้
“แอร์หาความสุขจากสิ่งง่ายๆ ทั่วๆ ไปนี่แหละค่ะ เล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องหวังใหญ่โตว่าวันหนึ่งลูกฉันเรียนจบประสบความสำเร็จแล้วฉันจะมีความสุข แอร์มีความสุขกับปัจจุบัน เห็นคุณค่ากับสิ่งเล็กๆ น้อย ก็สามารถมีความสุขได้แล้ว ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรมากมายฟังดูเหมือนคนปลงนะ (หัวเราะ) แต่ว่าที่สุดแล้วแอร์ตั้งใจกับทุกสิ่งที่ทำ แอร์สอนลูกตลอดว่าไม่ว่าจะทำอะไร ลูกทำเต็มที่หรือยัง Do Your Best หรือยัง ซึ่งถ้าหนูทำเต็มที่แล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ไม่เป็นไรเลย นี่คือประเด็นของการใช้ชีวิตทุกอย่างค่ะ” (ยิ้ม)
Author By : Arunlak