หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่คิดถึงเกาะสวยๆ น้ำทะเลใสๆ ที่มัลดีฟส์ แต่ยังออกเดินทางไปหามัลดีฟส์ไม่ได้ เอาเป็นว่าลองไปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะกันก่อน เพราะใครๆ ก็ยกให้หลีเป๊ะเป็นมัลดีฟส์เมืองไทย
ใครที่ไม่ได้ไปเกาะหลีเป๊ะมานานแล้ว ต้องบอกว่าการเดินทางไปสู่เกาะหลีเป๊ะเดี๋ยวนี้ง่ายดายกว่าเมื่อ 5-10 ปีก่อนเยอะเลย เพราะเมื่อบินไปถึงสนามบินหาดใหญ่ ก็มีรถคอยรับส่งไปท่าเรือปากบาราในจังหวัดสตูล ใช้เวลานั่งรถราวชั่วโมงกว่าก็ถึงท่าเรือปากบารา
แถมเรือเดี๋ยวนี้สะดวกสบายขึ้นเยอะ มีทั้งเรือสปีดโบ๊ท เรือไฮสปีดเฟอรี่ติดแอร์เย็นฉ่ำ ที่จะพาซิ่งแค่ชั่วโมงครึ่งก็ถึงเกาะหลีเป๊ะแล้ว นึกถึงว่าสมัยก่อนต้องนั่งเรือ 2 ชั้นกันครึ่งวันนั่นแหละกว่าจะไปถึงเกาะหลีเป๊ะ แต่ตอนนี้เรือทุกลำมีโปรฯ พาแวะเที่ยวเกาะไข่ และเกาะตะรุเตาด้วย ให้เวลาลงไปถ่ายรูปเกาะละ 15-20 นาที ช่วยทำให้การเดินทางสู่เกาะหลีเป๊ะไม่รู้สึกว่าไกลจนเกินไป
แต่เมื่อไปถึงเกาะหลีเป๊ะอาจจะแปลกตาไปสักเล็กน้อยถ้าไม่ได้ไปหลีเป๊ะมาซัก 5 ปี เพราะจากเกาะโล่ง ๆ ทุกวันนี้มีรีสอร์ทกว่า 100 แห่งอัดแน่นอยู่บนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ สมัยก่อนมีแต่เรือนพักเป็นบังกะโลเล็กๆ แต่เดี๋ยวนี้ 3-4 ดาวมีมาให้คัดตัวเต็มไปหมด
เรือจะพาจอดส่งนักท่องเที่ยวขึ้นฝั่งที่อ่าวพัทยาก็จริง แต่บนเกาะหลีเป๊ะหลักๆ แล้วมีที่พักกระจายอยู่ที่ 3 หาด เอาเป็นว่าใครที่ชอบบรรยากาศคึกคักสนุกนาน หาดพัทยาน่าจะเหมาะกับคุณ เพราะหาดนี้มีทั้งคาเฟ่เก๋ๆ ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ บริษัททัวร์ดำน้ำ และที่พักมากมาย ข้อสำคัญ อยู่ใกล้กับถนนคนเดินของเกาะมากที่สุด
ถ้าเดินสำรวจทั่วทั้งหาดพัทยา ก็จะพบว่าไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับรีสอร์ทน้องใหม่อีกแล้ว แน่นเอี้ยดจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้มะพร้าวได้หายใจ
เอาเป็นว่า ถ้าใครไม่ชอบความเงียบสงบ และมองหามุมที่สะดวกสบายสำหรับทุกสิ่งอย่าง ขอให้มุ่งหน้าไปที่หาดพัทยา
แต่ถ้าเป็นพวก Morning Person และชอบดื่มด่ำกับความสงบ แนะว่าเลือกที่พักแถวหาดซันไรส์จะดีกว่า อยู่หาดนี้แล้วลุกขึ้นเช้าๆ รอดูพระอาทิตย์ขึ้น สัมผัสแสงแรกกับคนพิเศษ คิดดูสิว่ามันโรแมนติกขนาดไหน
ทางฝั่งหาดซันไรส์บางมุมอาจจะมีโขดหินบ้าง แต่น้ำทะเลก็สวย และหาดทรายขาวเนียน แถมยังมีแนวทิวสนและทิวมะพร้าวให้ร่มเงาอยู่ตลอดแนวชายหาด พวกฝรั่งหิวแดดยังนอนผึ่งร่างกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับว่า แสงแดดคือสิ่งมหัศจรรย์ พวกเขาจึงทอดกายให้แดดชโลมไปทุกหลืบของร่าง
พวกนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงนิยมมาพักผ่อนที่หาดซันไรส์กัน นอกจากจะนอนอาบแดดกันอย่างสบายอารมณ์แล้วยังสามารถลงไปดำน้ำตื้นดูปลาและปะการังบริเวณหน้าหาดได้ด้วย
อีกฝั่งหนึ่งที่เหมาะกับคนชอบความเงียบสงบ โปรดปรานบรรยากาศชิลล์ๆ ต้องไปที่หาดซันเซ็ทหาด มุมที่ไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านเหมือนหาดพัทยา แต่ยังมีความสวยงามของหาดทรายและน้ำทะเลไม่แพ้มุมอื่นๆ ของเกาะหลีเป๊ะ
ระหว่างหาดซันเซ็ทกับหาดซันไรส์ จะมีเนินทรายที่เป็นแหลมยื่นออกมาจากฝั่งเป็นเหมือนลากูน น้ำทะเลไล่เฉดสีจากฟ้าอ่อน เทอร์ควอยซ์ ไปหาครามเข้ม มุมนี้นี่แหละ ที่น่าจะทำให้ผู้คนเรียกหลีเป๊ะว่าเป็นมัลดีฟส์เมืองไทย หากจะหามุมนี้
พิกัดง่ายๆ หาโรงแรม Zodiac See Sun ให้เจอหรือไม่ก็หาโรงแรม Mountain View ให้เจอ มองลงมาจะเห็นเนินทรายสวยงามเกินบรรยาย และใครที่สงสัยมาตลอดว่าทำไมหลีเป๊ะถึงถูกเรียกว่าเป็นมัลดีฟส์เมืองไทย มาเห็นช็อตนี้ รับรองหายสงสัยเป็นปลิดทิ้ง
แต่ไม่ว่าใครจะเลือกพักผ่อนในหาดไหน น่าจะลองหาโอกาสไปเดินทอดน่องท่องถนนคนเดินดูซะหน่อย ที่จริงแทบจะเรียกว่าเป็นกิจวัตรของนักท่องเที่ยวที่มาหลีเป๊ะเลยก็ว่าได้ กินมื้อเช้าเสร็จ ไปนอนผึ่งแดดปิ้งตัวทั้งวัน เย็นไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกที่หาดพัทยาหรือหาดซันเซ็ท เสร็จแล้วไปหาอะไรกินที่ถนนคนเดิน ร้านรวงแถวนี้แน่นไปหมด ทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายโรตีนี่ก็ฮิต ร้านขายทัวร์ดำน้ำก็เยอะ ร้านที่มีดนตรีเล่นสดยังมีเลย แม้แต่ร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่นยังมีเลย ร้านนวดก็แน่นมาก เรียกว่าสะดุดล้มแผละไปตรงไหน นวดได้เลย สนนราคาค่าคลายเส้นชั่วโมงละ 300 บาทขาดตัว
เดินสำรวจถนนคนเดินกันไปแล้ว มาถึงเกาะหลีเป๊ะทั้งที มีสิ่งเดียวที่พลาดไม่ได้เลยคือการออกไปสำรวจเกาะแก่งน้อยใหญ่ที่อยู่รอบๆ หลีเป๊ะ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งดำน้ำตื้นและดำน้ำลึกได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น เกาะไข่ เกาะหินงาม เกาะหินซ้อน เกาะอาดัง เกาะราวี จุดดำน้ำร่องน้ำจาบัง โดยสามารถติดต่อบริการพาเที่ยวได้จากบริษัททัวร์บนเกาะ หรือจะให้ทางที่พักจัดการให้ก็ได้
แต่มุมที่เป็นไฮไลท์หน่อยก็เห็นจะเป็นร่องน้ำจาบัง เป็นกองหินใต้น้ำที่อยู่ระหว่างเกาะราวี และเกาะหลีเป๊ะ ร่องน้ำจุดนี้ใต้น้ำสวยงามมาก มีแท่งหินอยู่ทั้งหมด 5 ยอด มีอยู่ 4 ยอดที่ปกคลุมด้วยปะการังอ่อนหลากสี อีกหนึ่งยอดจะเต็มไปด้วยดาวขนนก เกาะอยู่อย่างมากมาย ปกติแล้วการชมปะการังอ่อนแบบนี้จะต้องดำน้ำลึก (Scuba Diving) แต่ที่นี่ปะการังอ่อนอยู่ในระดับที่ตื้นมาก
บริเวณนี้มีทั้งดาวขนนกทั้งสีดำ และสีแดง มีปะการังอ่อนหลากสีสัน ฟองน้ำครกขนาดใหญ่, ดอกไม้ทะเลหลากสี และยังมีฝูงปลามากมายแหวกว่ายอยู่รอบๆ กองหิน แต่กระแสน้ำบางวันจะค่อนข้างแรงมาก แต่ถ้าอยากจะไปช่วงที่น้ำนิ่งๆ คือต้องไปให้ตรงช่วงแรม 7 – 8 - 9
อีกเกาะหนึ่งที่น่าเที่ยวคือเกาะหินงาม เกาะนี้นับเป็นอุทยานธรณีโลกแห่งแรกในไทย และแห่งที่ 5 ของอาเซียน ทั้งหาดจะเต็มไปด้วยก้อนหินสีดำ รูปร่างและขนาดแตกต่างกันไป แต่ที่ละม้ายคล้ายกันทุกก้อนก็คือความกลมเกลี้ยง ที่พอโดนน้ำ และแสงแดดสาดส่องแล้ว จะกลายเป็นสีมันวาววับที่สวยงามมาก
ว่ากันว่า หินที่นี่เป็นหินที่มีการทับถมอยู่ใต้ท้องทะเลมายาวนาน ความกลมมนเงางามของมันนั้นเกิดจากแรงกัดกร่อนจากคลื่นนับล้านๆ ปี จนเกิดเป็นหาดหินงามอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
ใกล้ๆ กับเกาะหินงาม ยังมี เกาะยาง ที่รายรอบเกาะมีปะการังแข็งอย่างปะการังเขากวาง ปะการังผักกาด เหมาะสำหรับการดำน้ำตื้น และโดยมากช่วงมื้อกลางวัน เรือจะพาแวะไปปิกนิกกันทีเกาะราวี ซึ่งใกล้ๆ กับเกาะนี้ ยังมี เกาะดง เกาะหินซ้อน ที่รอบเกาะมีจุดดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นให้ชมปะการังอ่อนและปะการังแข็งกันด้วย รวมถึง เกาะผึ้ง เกาะเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างเกาะราวีและเกาะดง มีกัลปังหาและปะการังแข็งอยู่บริเวณใกล้ร่องน้ำ เหมาะสำหรับดำน้ำตื้น แต่ถ้าออกไปรอบนอกหน่อยก็จะมีเกาะรอกลอยที่น้ำใสถึงขั้นสุด
บางคนอาจจะคิดว่าหลีเป๊ะไปเที่ยวได้แค่บางช่วงเท่านั้น แต่ความจริงคือหลีเป๊ะใน พ.ศ.นี้สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี มีเรือสปีดโบ๊ทวิ่งให้บริการทุกวัน และนักดำน้ำแบบฟรีไดฟ์บางคนให้ข้อมูลว่าช่วงสิงหาคม และกันยายนนอกจากนักท่องเที่ยวน้อยแล้วน้ำยังใสอีกด้วย รู้แบบนี้แล้วปักหมุดเกาะหลีเป๊ะกันไว้เลย เพราะที่นี่คือเกาะสวรรค์แห่งอันดามันใต้
Story & Photo By กาญจนา หงษ์ทอง