จาก Littlebunnystore ค่อยๆ เติบโตสู่ HOUSE OF LITTLEBUNNY บ้านกระต่ายหลังใหญ่ที่แข็งแรงในปัจจุบัน ความมุ่งมั่นกว่าเกือบทศวรรษที่ผ่านมาทำให้ คุณมิ้ง – ลักษิกา กรรณสูตร ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง ‘HOUSE OF LITTLEBUNNY’ สามารถสานความฝันในการสร้างแบรนด์ให้ก้าวกระโดดโชว์ศักยภาพบนเวที Global ให้กลายเป็นความจริงได้สำเร็จ ‘Young CEO’ การขนานนามที่บ่งบอกการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของ HOUSE OF LITTLEBUNNY ซึ่งแสดงถึงแนวคิดและทัศนคติในการบริหารงานของ CEO วัยเพียง 29 ปี ที่มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้อยู่เสมอ ประกอบกับการสร้างตัวตนและเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ทำให้แบรนด์ HOUSE OF LITTLEBUNNY เป็นที่รักของลูกค้าจนมี Loyalty Customer มากมาย
“ช่วงปีที่ผ่านมานับเป็นความโชคดีของ HOUSE OF LITTLEBUNNY ที่ได้รับเกียรติจากดาราแถวหน้าของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีผู้ติดตามในสื่อโซเชียลมีเดียกว่า 11 ล้าน Followers ได้ติดต่อเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้ตอนนี้ HOUSE OF LITTLEBUNNY เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากกับชาวฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังมีความโชคดีอีกอย่างหนึ่งคือ แบรนด์ของเรากลายเป็นไวรัลที่ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้ลูกค้าชาวอินโดนีเซียสนใจแบรนด์เป็นอย่างมาก ลูกค้าอินโดมองว่าแบรนด์ HOUSE OF LITTLEBUNNY เป็นท็อปโลคอลแบรนด์ของประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซียจำนวนมากที่เดินทางมาประเทศไทย แวะมาซื้อสินค้าของเรากลับไป เพราะถือว่าได้ใช้แบรนด์ไทยที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ นอกจากนั้นก็ยังมีลูกค้าจากหลายๆ ประเทศที่รู้จักและมาอุดหนุน HOUSE OF LITTLEBUNNY จากความฝันที่จะก้าวไปเป็น Global ในปีที่แล้ว ด้วยความโชคดีทำให้ปีนี้ House of Littlebunny ไปสู่ Global เหมือนที่ฝันไว้ ซึ่งมิ้งเองก็รู้สึกภูมิใจมากๆที่แบรนด์ไทยที่เราสร้างมาเริ่มโกอินเตอร์แล้ว”
“สำหรับโปรเจกต์พิเศษในปีนี้เรากำลังจะทำ HOUSE OF LITTLEBUNNY Beauty ซึ่งเป็นไลน์ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Beauty Product เป็นโปรเจกต์ที่มิ้งอยากทำมานานแล้ว ประกอบกับปีนี้แบรนด์เริ่มเป็น Global มากขึ้น มีชาวต่างชาติรู้จักเรามากขึ้น มิ้งเลยอยากใช้โอกาสนี้ขยายไลน์สินค้า โดยมิ้งมีความตั้งใจที่จะใส่เอกลักษณ์ความน่ารักและคุณภาพของ HOUSE OF LITTLEBUNNY เข้าไปในทุกสินค้า เพื่อพิสูจน์ว่าแบรนด์เราสามารถ ขยายไลน์สินค้าตัวอื่นๆได้ด้วย มิ้งตั้งใจว่าทุกสินค้าที่เราผลิตต้องดีเหมือนคุณภาพกระเป๋าที่เราขายมานานเกือบ 10 ปี
ปัจจุบันมีแบรนด์ที่ใกล้เคียงกันเกิดขึ้นมากมาย อะไรคือความแตกต่างที่ทำให้แบรนด์ยังคงอยู่และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง
“มิ้งคิดว่าแฟชั่นเป็นวงการแข่งขันกันสูงอยู่แล้ว และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ว่าข้อดีของแฟชั่นอย่างหนึ่งคือ หากแบรนด์ของเรามีบุคลิกและตัวตนที่ชัดเจน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ทำให้ลูกค้าชื่นชอบ ลูกค้าก็จะรักในตัวตนและบุคลิกของแบรนด์เอง สำหรับตัวตนของ House of Littlebunny คีย์สำคัญที่ทำให้เรายังสามารถเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้คือ ความน่ารัก และความครีเอทีฟในแบบฉบับของเรา ซึ่งพอเกิดความเข้าใจและรักในบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ลูกค้าก็กลายเป็น Loyalty Customer ของเราค่ะ”
จากวันแรกจนถึงวันนี้ คุณมีแนวคิดในการมองเป้าหมายเปลี่ยนไปหรือไม่
“House of Littlebunny เกิดมาพร้อมๆ กับตัวมิ้งที่เป็นวัยรุ่น จนถึงตัวมิ้งในวันนี้ที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเลย คือเรื่องของแนวคิดและการบริหารงาน มิ้งเรื่มธุรกิจเองจากศูนย์ ก็ค่อยๆเรียนรู้และเติบโตไปกับแบรนด์ อย่างช่วงวัยรุ่นมิ้งอาจจะมีวิธีการบริหารงานอีกแบบ แต่วันที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีวิธีการจัดการทำงานอีกแบบ แต่หนึ่งอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือ มิ้งรัก Littlebunny มิ้งก็อยากให้แบรนด์ เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ฉะนั้นคีย์ของมิ้งก็คือ เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆ กับแบรนด์ค่ะ”
มองตัวเองในวันแรกที่เริ่มทำธุรกิจ กับตัวเองในวันนี้ที่ธุรกิจเติบโตขึ้นตลอดจนมียอดขายทะลุร้อยล้าน สำหรับจุดนี้คุณได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างไรบ้าง
“มิ้งกล้าพูดได้เลยว่ามิ้งเป็นนักฝัน มิ้งไม่เคยกลัวที่จะฝัน แต่หากมองย้อนกลับไปในอดีต สิ่งหนึ่งที่มิ้งรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลง คือ สมัยวัยรุ่นเวลาเราทำอะไร เราจะวิ่งใส่เต็มที่ สุดกำลัง หัวชนฝา คิดอย่างเดียวว่าเราจะทำ เราจะทำให้ได้ แล้วก็ทำๆ ลุยๆ เส้นทางที่ผ่านมาเจออุปสรรคมาเรื่อยๆ ล้มบ้าง ในวันนี้มิ้งเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มิ้งเพิ่งเริ่มเรียนรู้ในการฝึกเมตตาตัวเองมากขึ้น ฝึกมองว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องวิ่งตลอดเวลา สามารถหยุดพักได้ หรือลองเดินดูบ้างก็ได้มิ้งรู้สึกว่าที่ผ่านมาตอนเป็นวัยรุ่น เรากดดันตัวเองมาตลอด พอมีอุปสรรค ก็ยิ่งกดดันตัวเองบางครั้งมันทำให้เราเกิดทุกข์ บทเรียนในช่วงชีวิตนี้คือเมตตาตัวเองบ้าง ถ้าอะไรหนักเกินไปก็ค่อยๆ ผ่อน ถ้าวิ่งเร็วแล้วเหนื่อยก็หยุดพักบ้าง ถ้าบางครั้งเราอยากจะนั่งเฉยๆ ซักนิดก็คงไม่เป็นไรหรอก เป็นการค่อยๆ เมตตากับตัวเอง มิ้งคิดว่า พอทำได้เช่นนี้มันก็เฮลท์ตี้กับตัวมิ้ง เฮลท์ตี้กับแบรนด์ เฮลท์ตี้กับธุรกิจ และเฮลท์ตี้กับบริษัทด้วยค่ะ”
สิ่งที่ทำให้คุณได้เรียนรู้ และเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน
“ล่าสุดมีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดใหญ่ชัยมงคล สิ่งที่ได้เรียนรู้กลับมาคือ เมตตาต่อตัวเองมากขึ้น แต่ก่อนเวลาทำงาน หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม มิ้งจะทำเต็มที่เอาเป็นเอาตาย ยกตัวอย่างคนอื่นทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มิ้งจะทำงานร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แล้วพอเจอปัญหาก็กดดันตัวเองจนเครียด แต่ว่าหลังจากที่ได้ไปปฏิบัติธรรมรอบนี้ สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ที่ได้เรียนรู้ในการมีเมตตาต่อตัวเองมากขึ้น เหมือนเวลาเราวิ่ง เราวิ่งเต็มที่ แต่หากรู้จักเมตตาตัวเอง มันทำให้เรียนรู้ว่าถ้าวิ่งแล้วเหนื่อยก็พัก อยากเดินก็เดิน ไม่ต้องวิ่งตลอดเวลาจนทุกข์ เครียด เหนื่อย อันนี้เป็นสิ่งล่าสุดที่ได้เรียนรู้ เป็นเหมือนการเติบโตภายในของตัวเอง ซึ่งพอเมตตาตัวเอง มิ้งก็สามารถบริหารจัดการงานได้ดีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความเฮลท์ตี้ในทุกๆ มิติของชีวิตมากขึ้นค่ะ”
หลักในการดำเนินชีวิต
“สิ่งที่มิ้งใช้เป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต ณ ปัจจุบัน ซึ่งเป็นความคิดของวันนี้ในวันที่อายุ 29 ปี คือแค่ทำทุกวันให้มีความหมาย หาความสุขเล็กน้อยๆให้กับทุกๆวัน อดีตผ่านไปแล้ว ส่วนพรุ่งนี้ก็ยังมาไม่ถึง ใจดีกับตัวเองวันนี้หน่อย มิ้งเคยดูคลิปในติ๊กต่อก เขาบอกว่าคนเราทุกข์ เพราะว่าเราไปยึดติดกับอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว หรือเรามักจะไปยึดกับอนาคตข้างหน้า ซึ่งจริงๆ ยังมาไม่ถึงและไม่รู้เลยว่าอนาคต หรือวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง แต่เรากลับไปกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และทำให้ลืมไปว่าจริงๆเรามีแค่ปัจจุบัน คือวันนี้นี่แหละ วันนึ้เรามีสิทธิเลือกได้ว่าจะมีความสุขหรือทุกข์ ฉะนั้นมิ้งจึงได้ข้อคิดและบอกตัวเองว่า “ปัจจุบันมีแค่ตอนนี้ ทำให้สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในทุกๆ วัน เพราะอย่าลืมว่าวันนี้มีแค่วันเดียวนะ “
เป้าหมายสูงสุดของ House of Littlebunny
“จริงๆ วันนี้ House of Littlebunny ก็มาไกลกว่าที่ฝันแล้ว แต่ถ้าถามว่าเป้าหมายต่อจากนี้ของ House of Littlebunny คืออะไร มิ้งแค่อยากให้คนรักแบรนด์เรา เหมือนที่เรารักแบรนด์เรา อยากเติบโตอย่างมั่นคงไปเรื่อยๆ ค่ะ”
เคล็ดลับใดที่คุณเชื่อว่าเป็นสิ่งขับเคลื่อนทำให้คุณประสบความสำเร็จ
“สำหรับคีย์ความสำเร็จของมิ้งคือ เรา แต่ต้องใช้ชีวิตแบบมีความหวัง เพราะถ้าเรามีความหวังกับอะไรบางอย่าง เราก็จะใช้ชีวิตเพื่อความหวัง ความฝันเป็นตัวพลักดัน แต่ความหวังจะเป็นพลังที่จะต่อลมหายใจของเราต่อไป ในมุมกลับกันถ้าเราอยู่แบบไม่มีความหวัง อย่าว่าแต่ความสำเร็จเลยค่ะ แค่วันพรุ่งนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร ดังนั้นเราจงมีความหวังและศรัทธาในชีวิต แล้วชีวิตถึงจะมีความหมาย ”
Quote of Life
“The present is here, live it.”