เพราะเติบโตในครอบครัวของนักธุรกิจที่มากด้วยความสามารถและสร้างความสำเร็จให้ได้เห็นมาตั้งแต่จำความได้ คุณกุ๊กไก่ - นฤพร กาญจนจารี บุตรสาว และคุณกานต์ - พรประเสริฐ กาญจนจารี บุตรชายของ คุณพรเสก -ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี จึงได้ซึมซับพร้อมทั้งเรียนรู้ และนำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาปรับใช้ในการทำงานของพวกเขาในปัจจุบัน
และนับเป็นโอกาสที่ดี ที่ HiSoParty ฉบับนี้ มีโอกาสได้พาทุกคนไปสัมภาษณ์พูดคุยกับพี่สาวคนโต และน้องชายคนเล็ก ของครอบครัวกาญจนจารี เพื่อทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้น ...
คุณกุ๊กไก่ - นฤพร กาญจนจารี เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนจิตรลดาในระดับประถมศึกษา และได้เดินทางศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ โดยช่วงแรกอยู่โรงเรียนประจำ จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจาก King’s College, University of London คณะ Child Studies โดยมีความคิดฝันในวัยเด็กว่าอยากเปิดโรงเรียนอนุบาล เพราะเธอเชื่อว่า เด็กทุกคนสมควรได้รับการเริ่มต้นที่ดี ประสบการณ์ในชีวิตของเด็ก จะส่งผลต่อพวกเขาในตอนโต เราจึงควรให้ความสำคัญและบ่มเพาะให้เขาเหล่านั้นมีความกล้าหาญ และความมั่นใจในการใช้ชีวิต
“ที่กุ๊กไก่เลือกเรียนเกี่ยวกับ Child Studies เพราะอยากทำโรงเรียนเด็กเล็ก กุ๊กไก่เรียนทั้งปริญญาตรี และปริญญาโท ซึ่งไม่เกี่ยวกับงานในตอนนี้เลย (หัวเราะ) แต่ว่าก็ได้นำประโยชน์จากสิ่งที่เรียนมาใช้อย่างเรื่องจิตวิทยา ที่เรามาปรับใช้ในการทำงานหรือการใช้ชีวิตได้ ซึ่งเรื่องการทำงานกับเด็ก ถือเป็น Passion อย่างหนึ่งของเราเหมือนกันค่ะ อาจเป็นไปได้ที่เรามีโอกาสได้ติดตามคุณแม่ สมัยที่คุณแม่ดำรงตำแหน่ง District Governor ของ ซอนต้าสากล ดูแล 6 ประเทศ เราจึงมีโอกาสได้ติดตามคุณแม่ไปเยี่ยมสโมสรในต่างจังหวัดและต่างประเทศ ไปเป็นเลขาให้คุณแม่ ทำให้เราได้เห็นปัญหาความยากลำบากของคนอื่น เราก็เกิดความซึมซับการอยากช่วยเหลือ และจากการที่ได้สัมผัสงานตรงนี้ก็ได้ต่อยอดมาทำซอนต้า อี-คลับประเทศไทย จะเป็นเจเนอเรชั่นเด็กๆ ซึ่งโฟกัสของเราคือ ช่วยรณรงค์ยุติความรุนแรงในสตรีและเด็กผู้หญิง, รณรงค์เรื่องการท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น เหมือนให้โอกาสกับเด็กๆ และกับผู้หญิงด้วยค่ะ
“ลูกๆ แต่ละคน คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะปูทางให้ไม่เหมือนกัน ท่านจะดูตามความถนัดและสิ่งที่พวกเราชอบ ซึ่งคุณแม่เองท่านคงรู้ว่าเราชอบทางด้านการกุศล ตั้งแต่จำความได้ คุณแม่ให้พวกเราไปช่วยงานที่มูลนิธิกฤตานุสรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่คุณยาย (คุณหญิงสวลี ชลวิจารณ์) เป็นประธานก่อตั้งมูลนิธิ กุ๊กไก่ กิ๊บ กานต์ ไปเดินแบบการกุศล หารายได้ช่วยเป็นทุนการศึกษาแก่บุตร ธิดา ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ที่ต่อสู้ปกป้องประเทศชาติจนบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต ตอนนี้ กุ๊กไก่ก็เป็นกรรมการที่มูลนิธิกฤตานุสรณ์ฯ ซึ่งเป็นมูลนิธิฯ ที่ทำตั้งแต่สมัยคุณยาย แล้วก็มาเป็นรุ่นคุณแม่ และมาถึงรุ่นเรา กุ๊กไก่เป็นเด็กคนแรกที่เข้าไปร่วมในมูลนิธิฯ คุณแม่ท่านจะเลือกว่าลูกคนไหนอยากทำอะไร เหมือนไก่ก็ได้สืบทอดงานทางด้านสังคมของท่านค่ะ
“สำหรับในส่วนธุรกิจครอบครัว กุ๊กไก่ได้เข้าไปดูในส่วนของ บริษัท ซิว จำกัด และโรงแรมชาโต เดอ แบงคอค ซึ่งชาโตนี่เปรียบเสมือนเป็นลูกคนที่สี่ของคุณแม่ (ยิ้ม) เหมือนเป็นน้องเล็กของพวกเราค่ะ จึงค่อนข้างมีความผูกพันอยู่แล้ว เราเติบโตมาด้วยกัน ไม่ต้องปรับตัวอะไรเยอะ พวกเราโชคดี มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็ก มีประสบการณ์ สังเกตข้อดีข้อเสียเวลาไปพักตามโรงแรมต่างๆ และนำมาปรับใช้กับธุรกิจโรงแรมของเราเอง ซึ่งคุณแม่ก็จะให้ความสำคัญเรื่อง Purchasing (การจัดซื้อ) เพราะเราต้องคอยดูว่า ใช้จ่ายอะไร ต้องมีการวางแผน ส่วนน้องกิ๊บ เขาจะดูด้าน Budget เพราะเขาเรียนไฟแนนซ์มาค่ะ น้องกานต์ก็เข้ามาช่วยออกไอเดียเรื่องการตกแต่งด้วย ตอนนี้พวกเรา 3 คนก็จะให้ความสำคัญกับชาโตหน่อย เพราะอยู่ในช่วง Renovation คุณแม่จะให้คำปรึกษา คำแนะนำในช่วงรับช่วงต่อธุรกิจ ที่พวกเรายังไม่ได้เข้ามาบริหารอย่างเต็มตัว
“หากถามว่าการทำงานกับพี่น้องเป็นอย่างไร คือ ด้วยความที่เราสามคนสนิทกันอยู่แล้ว กิ๊บกับกุ๊กไก่จะโตมาด้วยกัน เราเรียนโรงเรียนประจำที่อังกฤษที่เดียวกัน ส่วนกานต์เราก็ไม่เคยทะเลาะกันเลย เวลาทำงานเราคุยกันและรับฟังกันทุกเรื่อง ซึ่งในเรื่องงานเราไม่เคยทะเลาะกันเพราะว่าส่วนใหญ่เราจะมีความเห็นคล้ายๆ กันค่ะ”
“สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่ ที่กุ๊กไก่รู้สึกว่าได้ซึมซับมามากที่สุด คือ ความละเอียด และความมีระเบียบ เพราะคุณพ่อคุณแม่เองก็ไปโรงเรียนประจำตั้งแต่เด็ก ท่านทั้งคู่ก็จะเนี้ยบพอสมควร (ยิ้ม) คุณแม่ท่านจะเป็นคนที่อ่านสัญญาละเอียดมาก และเร็วมาก ตัวเราเองคงไม่เร็วเท่าท่าน แต่เราก็ค่อนข้างมีความละเอียด ซึ่งเราก็นำสิ่งนี้มาช่วยน้องๆ ได้ และจากการที่เราได้เห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานมา ทำให้เรารู้สึกว่าถ้าเราละเอียด และเรามีความรู้จริงในข้อมูล คนก็จะเอาเปรียบเราไม่ได้ กุ๊กไก่ว่าตรงนี้คือสิ่งสำคัญมากที่เราได้เรียนรู้มาจากพวกท่านและนำมาปรับใช้ในการทำงานของเราได้ค่ะ”
คุณกานต์ - พรประเสริฐ กาญจนจารี ผู้ชายที่เชื่อว่าถ้าตั้งใจแล้วไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เขาเรียนจบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ จาก University of St. Andrews ในเวลาเพียง 3 ปีครึ่ง และเขาเคยติด World Ranking อันดับ 1,400 – 1,600 ของโลกในฐานะนักกีฬากอล์ฟ
“ผมเริ่มเรียนที่โรงเรียนจิตรลดาเหมือนพี่ๆ ถึง ป.3 จากนั้นไปเรียนที่ Harrow International School Bangkok จนถึงอายุ 11 ปีผมก็ไปเรียนที่อังกฤษครับ ไปอยู่ Boarding school ซึ่งผลการเรียนช่วงนั้นค่อนข้างดีทีเดียว พอถึงช่วงมหาวิทยาลัย ผมเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ ที่ University of St. Andrews เพราะมีความสนใจใน Macroeconomics ผมเรียนจบในเวลาสามปีครึ่ง ผมอยากเรียนจบเร็ว เพื่อจะได้มาเเข่งกอล์ฟ คือ ย้อนไปในช่วงระหว่าง Cambridge Pre-U กับมหาวิทยาลัย ผมเรียนกอล์ฟอย่างจริงจัง เพราะอยากเป็นนักกีฬามืออาชีพ พอเรียนจบก็อยากกลับมาแข่งกอล์ฟ ซึ่งผมได้ World Ranking อยู่อันดับ 1,400 – 1,600 ของโลกนะ ตอนนั้นจริงจังมาก จนตอนหลังมีอาการบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูก จึงเลิกแข่ง และได้กลับมาทำธุรกิจที่บ้านครับ
“สิ่งที่ผมได้จากกีฬากอล์ฟ คือ วินัย ความรับผิดชอบ อีกอย่างที่สำคัญกอล์ฟเป็นกีฬาที่โทษคนอื่นไม่ได้ เพราะมันมีแค่ตัวเราเอง เราต้องทำคะแนนให้ดีที่สุดทุกอย่างมาจากตัวเรา ซึ่งสิ่งที่ผมนำมาใช้ในชีวิตคือ ความรับผิดชอบ ต้องรับผิดชอบกับการตัดสินใจของตนเอง และเราต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ครับ
“ในฐานะลูกชายคนเล็กของครอบครัว ตอนเด็กๆ มีความกดดัน เพราะเราเป็นลูกชายคนเดียว และคุณพ่อก็เป็นลูกชายคนเดียวของคุณปู่เหมือนกัน คุณพ่อกับคุณแม่จะเลี้ยงผมไม่เหมือนพี่ๆ คุณพ่อมักจะสอนว่า “ถ้าอยากได้อะไรเราต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนมาทำให้” ตอนเด็กๆ ถ้าผมอยากเล่นเกม คุณพ่อจะบอกว่าต้องไปทำ Extracurricular activities ทางการเรียน และทางกีฬาก่อน เช่น อ่านหนังสือเพิ่ม 2 ชั่วโมง จะเล่นเกมได้ 1 ชั่วโมง อย่างตอน ที่ PlayStation ออกใหม่ ผมอยากได้มาก คุณพ่อจะให้พาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นนำมาให้วันแรกที่ออกเลยครับ ตอนนั้นนี่ผมได้เครื่องแรกของไทยเลย เพียงแต่ว่าการจะได้มา ผมก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างก่อนเสมอ ทำให้ตอนนี้ผมยึดมั่นถึงคำสอนที่ว่า “ถ้าเราอยากได้อะไร ให้ลงมือทำให้เต็มที่ และเราจะสำเร็จเอง” ครับ
“ณ ตอนนี้ผมมาช่วยธุรกิจครอบครัวเต็มตัวเหมือนพี่ๆ คือเป็นกรรมการที่บริษัท ซิว จำกัด ที่เป็นเจ้าของบริษัทพานาโซนิค และ อีกหนึ่ง Project ที่พวกเราพี่น้องทุ่มเทกันตอนนี้คือโรงแรม Chateau De Bangkok เพราะตอนนี้กำลัง Renovate ครั้งใหญ่อยู่ ซึ่งผมดูแลในส่วน F&B Marketing กับ Branding พี่ไก่จะดู Purchasing พี่กิ๊บจะดูภาพรวมของ Renovation ทุกอาทิตย์เราก็เข้าประชุมกับทุกแผนกเพราะทุกคนต้องมีส่วนในการตัดสินใจว่าโรงแรมจะหน้าตาเป็นอย่างไร ความตั้งใจของผมคือ อยากให้ ชาโต กลายเป็นธุรกิจที่สามารถดำเนินไปด้วยตัวของมันเองได้ ตอนนี้ผมจึงทุ่มเทเต็มที่เพื่อสร้างทีม และระบบให้ดี เพื่อให้วันหนึ่งโรงแรมสามารถรันได้ด้วยตัวเอง
“สำหรับผม ‘เวลา’ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมอยากมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น อยากมีเวลาให้กับเพื่อนๆ ให้กับคนรัก ผมว่าการมีเวลาในการใช้ชีวิต นั่นคือ ไลฟ์สไตล์ Luxury ที่เงินซื้อไม่ได้ครับ ตอนนี้ผมก็ลุยเต็มที่ในการวางรากฐานที่ดีให้กับโรงแรม เพื่อให้เราเติบโตได้อย่างยั่งยืน เพื่อผมกับครอบครัวจะได้มีเวลาด้วยกันมากขึ้นครับ”
Photo By : PumkiatAuthor By : Arunlak