ยามสายในวันสบายๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว HISOPARTY ได้มีโอกาสนั่งคุย กับผู้ชายเท่ๆ คนหนึ่ง ถึงเรื่องราวชีวิตการทำงาน ความชอบ ไลฟ์สไตล์ รวมถึงชีวิตครอบครัวของเขา เบื้องต้นเราพอจะทราบอยู่แล้วว่าเขาเป็นบุคคลที่น่าสนใจทั้งด้านความคิด และการใช้ชีวิต ซึ่งพอได้พูดคุยสัมภาษณ์กันแบบจริงๆ จังๆ ได้สัมผัสกับวิธีการพูด รวมถึงวิธีคิด ทำให้เราได้รู้เลยว่า ในทุกหน้าที่ที่เขาเป็นไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ดีเจ นักฟังเพลง สามี และคุณพ่อ เขาทำมันอย่างเต็มที่ และใช้ความรักเป็นพลังขับเคลื่อนสิ่งเหล่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาทำมันออกมาได้ดีในทุกบทบาทอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง (อย่างน้อยก็ในสายตาเรา) กับ ‘คุณพอล สิริสันต์’
อัพเดทเกี่ยวกับงานปัจจุบัน
“ตลกดีนะครับ เพราะว่าชีวิตผมมันวนลูปกลับมาในสิ่งที่ผมชอบมาทั้งชีวิต ก็คือเพลง ตอนนี้ผมเป็น Managing Director ของ Universal Music ค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยไม่ได้คาดคิดหรือตั้งใจไว้ คือส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่เคยเลือกทำงาน เพราะตำแหน่ง หรือเงิน ผมทำสิ่งที่ตัวเองรัก ทุกงานที่ผมทำเป็นสิ่งที่ผมรักที่จะทำ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เคยจะตั้งใจพยายามว่าวันหนึ่งเราจะกลับมาทำอะไร หรือต้องเป็นอะไร แต่ว่าโดยบังเอิญ ด้วยความที่ผมอยู่กับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เกิดมากับเสียงดนตรี เป็นดีเจ มา 25 - 26 ปี และทำมาตลอด แม้ว่าขณะเดียวกัน ในการทำงานทางด้านธุรกิจ ผมก็ได้เติบโตในองค์กรต่างๆ มาหลายปี ทั้งในเมืองไทย เมืองนอก ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก สิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ เวียดนาม แล้วอยู่มาวันหนึ่งอาจด้วยโชคชะตา และสิ่งที่เรารักมันอยู่ในตัวเรามาตลอด เราได้เห็นว่ามีเปิดรับตำแหน่ง MD ของ Universal ในประเทศไทย ซึ่งเขามองหาคนมาเกือบ 2 ปี แล้วผมมีโอกาสได้ไปคุย จากนั้นผมก็ตัดสินใจออกจากบริษัทที่ผมก็รัก ซึ่งผมอยู่ที่นั้นมา 12 ปี แต่ด้วยว่างานด้านดนตรี มันคงเป็น DNA ของตัวเราจริงๆ”
นับว่าคุณเป็นคนโชคดี เพราะน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักเป็นอาชีพ
“ผมว่าจริงๆ แล้ว ถ้าทุกคนรู้ว่าต้องการทำอะไรในชีวิต แล้วเลือกที่จะทำให้มันดีขึ้นทุกๆ วัน เลือกที่จะสนใจมันจริงๆ ศึกษามันจริงๆ และเป็นคนคนนั้นจริงๆ สิ่งนี้มันก็น่าจะเกิดขึ้นได้กับหลายๆ คนนะครับ”
หน้าที่ของ Managing Director ของ Universal Music ประเทศไทยต้องทำอะไรบ้าง
“จากเมื่อก่อนด้วยความเป็นค่ายเพลงอินเตอร์ จึงไม่เคยมีศิลปินไทยของเราเลย เมื่อผมเข้ามาผมจึงคิดที่จะสร้างศิลปินไทย แต่ว่าในเวลาเดียวกัน ศิลปินเมืองนอกของเราก็สำคัญอยู่เช่นเคยครับ พูดชื่อมาตั้งแต่ Taylor Swift ไปจนถึง Madonna เขาอยู่ Universal ทั้งหมด เราเป็นคนที่ดูแลการตลาดของเขาในเมืองไทยแต่ผมไม่ได้เข้ามาเพื่อทำแค่นี้ ผมมาเพื่อสร้างค่าย และเซ็นศิลปินไทย แล้วมาเพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อให้รองรับอนาคตที่เราจะไป ซึ่งในวันนี้เรามีอย่าง DABOWAY (คุณเวย์-ปริญญา อินทชัย), คุณวี - วิโอเลต วอเทียร์ และมีอีกหลายๆ คนครับ ซึ่งในปี 2020 น่าจะเพิ่มขึ้นครับ”
คุณมีวิธีการเลือกศิลปินมาร่วมงานอย่างไร ต้องมีความเป็นอินเตอร์หรือเปล่า
“ไม่ครับ ไม่จำเป็นต้องแนวอินเตอร์ ผมอยากทำงานกับคนที่มีไอเดีย มีตัวตน ที่แข็งแรง และแท้จริง เราไม่ใช่ค่ายที่ถ้าคุณหล่อ คุณสวย เต้นถูกสเต็ป เดี๋ยวผมปั้นคุณ ผมว่าเราไม่ได้อยู่ในยุคสมัยที่เขาจะเป็นใครก็ได้แล้วเรามาปั้น โดยเราหาเพลงมายัดให้เขา ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่คนต้องการจะเห็นอะไรที่มันถ่องแท้ ฉะนั้นผมจะใช้เวลาคุยกับคนเยอะมาก เพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถ่ายทอดออกมา มันคือตัวตนของเขาแท้จริงหรือเปล่า หรือในบางคนเราก็เข้าไปช่วยเขาเพื่อสร้างภาพที่เขามีอยู่ในหัวออกมาให้ความเป็นจริง ซึ่งเรามีทีมที่เป็น Expert ทางด้านครีเอทีฟ ทางด้าน Digital Marketing ทางด้าน Live การแสดงสด เข้ามาช่วยเอาความฝันของพวกเขามาสานต่อให้มันใหญ่ขึ้น นั่นคือค่ายที่เราจะทำครับ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมเชื่อ”
มีคำหนึ่งที่เขาบอกว่า คนที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ จะมีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือเราจะมีความสุข ข้อเสียคือเราจะทุ่มเทกับมันจนหลงลืมหลายๆ อย่าง คุณพอลคิดอย่างไร
“นี่เป็นข้อระวังตลอดเวลาสำหรับผม ว่ามันไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เพราะวันนี้เรามีครอบครัว เรามีคนที่ต้องเทคแคร์ ชีวิตมีมากกว่านั้น ชีวิตผม 50/50 มากเลย คือมีทั้งเพลง และมีทั้งคนที่ผมรัก ตอนนี้ผมสามารถแบ่งได้ ส่วนหนึ่งคงเพราะผมไม่ได้มีความสนใจที่หลากหลาย ผมรู้สึกว่าผมทุ่มเทกับแค่ 2 อย่างหลัก คือเพลง และครอบครัว ผมค่อนข้างชัดเจนในการใช้ชีวิตมันเลยไม่ยากที่จะจัดแบ่งเวลาครับ"
ส่วนตัวคุณชอบฟังเพลงแบบไหน
“มันพูดยากมากครับ บางครั้งตอนเดินทางผมนั่งฟังเพลงร็อคดังๆ ในรถ แต่ตอนบ่ายผมอาจจะไปฟังเพลงอิเลกทรอนิกส์ ฮิปฮอป มันแล้วแต่ ผมว่าเพลงมันเป็นตัวที่บ่งบอกความ Micro Moment ของชีวิตเรา มันเป็นจุดแค่นิดเดียว การฟังเพลงมันคือ ช่วงอารมณ์สั้นๆ ที่เรามีเวลานั้น แล้วนั่นคือความสวยงามในฐานะคนทำค่ายเพลง เราได้ทำสิ่งนี้ให้กับโลก ให้กับคนได้หยิบไปใช้เมื่อเขาต้องการมัน”
คุณคิดว่าอะไรที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกมีความสุข หรือผลลัพธ์อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าประสบความสำเร็จจากการทำงานของคุณ
“เป็นเป้าหมายที่ผมคิดตั้งแต่ 20 ต้นๆ ว่าสิ่งที่ผมอยากทำคือต้องการจะผลักดัน Creative Movement ใหม่ๆ ให้กับสังคม ผมจึงพยายามที่จะทำให้มี Movement ว่าเพลงใหม่ๆ มันมีนะ อยากให้คนเปิดรับ เพราะเมื่อเขาเปิดรับไปแล้ว มันจะสร้างแรงบันดาลใจให้กลุ่มคนที่เด็กกว่าคิดทำอะไรที่ไม่เหมือนกับตอนนี้ สำหรับผมนั่นคือโลกของเราที่น่าอยู่มากขึ้น เมื่อคนมี Freedom มีอะไรบันดาลใจให้เขาทำสิ่งใหม่ๆ ฉะนั้นผมต้องการที่จะเป็นคนที่สามารถให้แรงบันดาลใจกับกลุ่มใหม่ๆ ผ่านงานของศิลปินของเรา ผมไม่ได้ต้องการให้ทุกคนอยู่ในกรอบ ผมอยากให้ทุกคนสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ให้เกิดขึ้นมาเป็นทางเลือกใหม่ ซึ่งการที่นำเสนอทางเลือกใหม่ให้กับสังคม นั่นคือทั้งชีวิตผม คือผมชัดมากว่าผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”
จากพาร์ทของการทำงาน มาถึงในเรื่องครอบครัวบ้าง เราอยากให้คุณเล่าเรื่องชีวิตความรักของคุณให้ฟัง
“ผมรู้จักกับเจน (คุณเจนสุดา ปานโต) เป็นเพื่อนกันมา 10 ปีก่อนที่จะมาเป็นแฟนกัน ตอนนั้นเราเห็นเขาอยู่ตลอดแต่ไม่ได้มาเป็นแฟน คือไม่ได้พยายามจะจีบเขา เขาเป็นเพื่อนเรา ซึ่งเรารู้สึกชอบเพื่อนคนนี้มันเท่ เขาเป็นคนที่เหมือนเรา ฟังเพลงเหมือนเรา แต่ไม่เคยที่จะแบบกุ๊กกิ๊กเลย คือแมนๆ เป็นเพื่อนกันจริงๆ รู้สึกคนนี้เจ๋งดี ถ้ามีโอกาสอยู่ใกล้เขาเราก็จะไปหาเขาเป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ 10 ปี จากนั้นด้วยการทำงาน เราได้มาทำงานใกล้ชิดกัน เรามีโอกาสได้แชร์เรื่อง Passion เรื่องของ Creativity ครับ เขามีอีกมุมหนึ่งที่เติมเต็มความสนใจของเรา และเขาเป็นคนที่ชัดเจน และเป็นนักสู้มาก คือผมเรียนรู้จากเขาเลยล่ะ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมชอบเขามาก มันเป็น Attraction ที่แรงมาก ซึ่งเราสัมผัสได้”
อะไรที่ทำให้ตัดสินใจแต่งงาน
“ผมมองว่าถ้าเขาเป็นแม่ของลูกเรา สิ่งที่เขาทำให้ครอบครัวเรา จะออกมาเป็นครอบครัวแบบไหน เพราะว่าผมรักเขาอยู่แล้วล่ะ เขาดีสำหรับผม คือผมมองไปถึงการสร้างครอบครัว เมื่อจะตัดสินใจ ผู้ชายทุกคนมีความพร้อมอยู่แล้ว ซึ่งผมมองเห็น Value ในตัวเขา Value ในการมาเป็นแม่ของลูกเรา เรารู้จักกัน 10 ปี ผมคบเป็นแฟนกันแค่ 2 ปีครึ่ง ผมขอแต่งงาน เพราะว่าผมรู้จักเขา เราไม่เคยต้องจีบกัน เขารู้จักบ้านผมอยู่แล้ว เพื่อนก็คือเพื่อนกลุ่มเดียวกัน มันก็เลยง่าย เราเห็นกันมานาน ไม่มีการสร้างภาพเลย บางทีเจนอาจจะเสียใจว่าสร้างภาพหน่อยก็ดีนะ” (หัวเราะ)
ตอนคบเป็นแฟน ตอนแต่งงาน และตอนมีลูก Meaning of Love ของคุณเปลี่ยนไหม
“ตอนที่เราคบกัน In Love กันครั้งแรก มันเป็น Present เป็นปัจจุบัน พอเป็น Family แล้วมันเป็น Future มันเป็นการเดินทางที่ต้องเดินหน้าต่อไป ความหมายมันเปลี่ยน พอแต่งงานกันแล้วจากนี้มันคือสิ่งที่เราต้องสร้างด้วยกัน นั่นคือนิยามความรัก คือการมองไปข้างหน้าร่วมกัน”
คุณเป็นคนสวีทไหม
“ผมก็บอกรักนะ แต่เจนอาจจะบอกว่าผมเป็นคนที่ไม่ค่อยสวีท (หัวเราะ) นี่พูดถึงความแตกต่างของคน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำ คือเพื่อเขา เพื่อครอบครัว เรารู้ว่าเขาก็รู้ทุกอย่างที่เราทำว่าเพื่อครอบครัวร้อยเปอร์เซ็นต์”
สิ่งที่เรียนรู้จากการใช้ชีวิตคู่
“สิ่งที่ผมเรียนรู้ซึ่งไม่รู้มาก่อน คือ เราเอาบรรทัดฐานความชอบ และถูกต้องของเราไปใส่อีกคนหนึ่งไม่ได้เลย มันจะผิดตลอด เราต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ไม่มีใครที่จะเหมือนกันทุกอย่าง ผมกับเจนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องยอมรับว่าความชอบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน”
ลูกคือสิ่งที่มาเติมเต็มชีวิตของคุณ
“แน่นอนว่าเราเริ่มต้นแต่งงานก็เพราะความรัก ต่อมาการมีลูก เขาคือสิ่งที่จับต้องได้ เขาเป็นเป้าหมายของอนาคต”
ย้อนไปตอนที่เรารู้ว่าเรากำลังจะมีลูกรู้สึกอย่างไรบ้าง
“รู้สึกว่าเราไม่รู้อะไรเลยกับตรงนี้ เรามาเรียนรู้ใหม่ ก่อนที่จะมีลูก ผู้ชายที่แต่งงานก็ยังทำตัวเป็นแฟนอยู่ในหลายๆ ครั้ง แต่พอมีลูกคุณต้องเป็นพ่อ ต้องเป็นผู้นำ คือผมไม่รู้ว่าใครเป็นอย่างไร แต่สำหรับผมเอง เหมือนเริ่มจากปั่นจักรยาน 3 ล้อน่ะ เราไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ทุกอย่างเรียนรู้ด้วยตัวเอง เรียนรู้จากประสบการณ์ที่พยายามเรียนรู้จากการที่เห็นพ่อของเราทำ มันคงได้มากสุดแค่นั้น แล้วก็ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็ยังหัดอยู่ ตอนนี้ผมจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้นำครอบครัวที่ทำได้ดีที่สุดก็คงไม่ใช่ ทุกคนก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไปตลอด แล้วก็จะทำให้ดีขึ้นไป จะพัฒนาความเป็นพ่อที่ดีไปกับการเติบโตของลูกไปเรื่อยๆ”
ทุกวันนี้จัดสรรเวลาอย่างไร
“ผมพยายามจะทำงานให้เป็น Routine และผมก็อยากทำให้มี Routine เกิดขึ้นในบริษัท แต่ด้วยเพลง ด้วยเวลาทำงานของคน มันจะไม่จบแค่ 6 โมงครับ เพราะว่าถ้าเกิดศิลปินต้องการเจอเราหรือเขาอยู่ห้องอัดแล้วเขามีปัญหาอะไร มันก็จะเกินเวลามา แต่ว่าผมจะพยายามเสมอว่า มากกว่า 4 - 5 วันต่ออาทิตย์ ผมจะพาลูกเข้านอน แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากัน ให้เขาได้เห็นหน้าเราก่อนนอน”
จากพ่อถึงลูกชาย
“ผมไม่ได้ตั้งใจเลยที่จะให้เขามีคาแรคเตอร์เหมือนเรา แค่อยากจะให้เขาเป็นนักสู้ อยากจะให้เขาค่อยๆ หาตัวตนที่แท้จริง ให้รู้จักความลำบาก ต้องขยัน ต้องผ่านไปให้ได้ อยากให้เขาค่อยๆ สร้างแก่นของตัวตนที่แท้จริงว่าจะเป็นยังไง ผมว่ามันสำคัญ อีกหน่อยจะได้ไม่สวิงเวลามีเพื่อนมีแฟน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา ที่สุดผมอยากให้เขามีความมุ่งมั่น ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตามอยากให้เขามุ่งมั่นกับมัน”
ในความเป็นพ่อ
“ความเป็นพ่อ ทำให้ผมบอกกับตัวเองเสมอว่า เราต้องทำให้ดีที่สุดในวันนี้ของเรา แล้วเราเองก็จะโตไปด้วยกันกับลูก คือถ้าเราทำได้ดีที่สุดในวันนี้ วันข้างหน้า ครอบครัวของเราก็จะดีไปด้วยเช่นกันผมเป็นคนที่ทุกด้านในชีวิตไม่ว่าเรื่องอะไร โมเมนต์นี้สำคัญที่สุด ณ ปัจจุบันจะทำให้ดีที่สุดครับ”
ขอบคุณสถานที่ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพ
Photo By : PRAYUTHAuthor By : Arunlak