counters
hisoparty

Wonder Glacie at 'Patagonia'

6 years ago

ในโลกของนักเดินทาง เรามักบรรจุที่บางที่ เมืองบางเมืองให้อยู่ในหมวดของการไปเยี่ยมเยือนแบบซ้ำไปซ้ำมาได้อย่างไม่รู้เบื่อ ฉันเองก็ทำแบบนั้น

มุมหนึ่งในโลกที่อยู่ในลิสต์ของสถานที่ที่สามารถเที่ยวแบบซ้ำไปซ้ำมาได้คือ ปาตาโกเนีย (Patagonia) สถานที่ที่กินพื้นที่ทั้งฝั่งประเทศชิลี และอาร์เจนตินา

การจะดั้นด้นไปหาปาตาโกเนียทั้ง 2 ฝั่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่โดยมากแล้วมักจะไปตั้งหลักกันในฝั่งอาร์เจนตินาซะมากกว่า ซึ่งฉันก็เลือกแบบนั้นสำหรับคนไทยแล้วอาจจะไกลหน่อยที่ต้องบินไปอเมริกาใต้ แต่เมื่อไปเห็นปาตาโกเนียแล้วจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

เอาเป็นว่ายึดบัวโนสไอเรส (Buenos Aires) เป็นจุดออกสตาร์ทไว้ก่อน จากนั้นบินลงใต้ไปอีกเกือบ 3 พันกิโลเมตร จึงจะถึงหน้าด่านของปาตาโกเนียในฝั่งอาร์เจนตินาอย่างเมืองเอล คาลาฟาเต (El Calafate) ในจังหวะที่เครื่องบินค่อยๆ หย่อนตัวลงสู่สนามบินเอล คาลาฟาเต ฉันเริ่มเห็นเค้าลางอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป น่าจะ 5-6 ปีแล้วสินะ ที่มาเยือนเอล คาลาฟาเตครั้งก่อน จำได้ว่าตอนเครื่องบินจะแลนดิ้ง ฉันแทบลืมหายใจ เมื่อภูเขาทุกลูกทุกห่มไว้ด้วยหิมะสีขาวโพลน อาจจะห่างกันหลายปี แต่เป็นเดือนเดียวกัน ฤดูกาลเดียวกัน กลับไม่เหลือหิมะปรากฏอยู่บนภูเขาเลยแม้แต่หย่อมเดียว

นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันลอยๆ ถึงภาวะโลกร้อนอีกต่อไป ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงแล้ว

ฉันแทบไม่อยากชิงจินตนาการต่อไปอีกเลยว่า สถานที่ท่องเที่ยวที่ฉันเคยหลงใหลจะยังอยู่ดีมีสุขหรือไม่ อะไรจะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน แม้แต่เรื่องระบบสาธารณูปโภคยังเปลี่ยนเลย ตอนนี้มีแท็กซี่ให้บริการแล้ว จากก่อนหน้านี้เคยมาเมืองนี้ยังไม่มีแท็กซี่ จากสนามบินถ้าไม่นัดรถโรงแรมให้มารับก็ต้องหาทางไปเอง ซึ่งไม่เป็นปัญหา จากสนามบินเขามีรถตู้ให้บริการส่งถึงโรงแรม ที่นี่ ไม่มีโรงแรม 5 ดาวให้บริการหรอกนะ ฉันจึงเลือกพักที่บ้านป้าซูซานาสมาชิกของ Airbnb ที่บ้านทั้งหลังมองเห็นวิวทะเลสาบอาร์เจนติโนได้อย่างเต็มตา แถมยังเป็นมุมที่เห็นซันเซ็ทได้ทุกเย็น สำหรับฉันวิวแบบนี้บรรยากาศแบบนี้ ยิ่งกว่าพักโรงแรมห้าดาวอีก

ตอนเย็นๆ ชาวเมืองจะพากันออกมาเดินเล่น จ๊อกกิ้ง และนั่งดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็น เป็นชีวิตรื่นรมย์ที่หาได้จากเมืองนี้ พอค่ำๆ ก็ไปหาร้านเก๋ๆ ดินเนอร์บนถนนลิเบอร์ตาดอร์ ซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมือง

สิริรวมแล้ว เอล คาลาฟาเตเป็นเมืองเล็กๆ ที่เข้าถึงง่าย ทุกวันนี้แม้จะเป็นเมืองหน้าด่านของปาตาโกเนีย แต่ก็ยังมีชาวเมืองไม่ได้เยอะมาก เมื่อ 20 ปีก่อน มีชาวเมืองอาศัยอยู่แค่ 3 พันกว่าคน แต่ตอนนี้ผู้คนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ตัวเมืองเริ่มมีผู้คนเข้ามาตั้งรกรากเมื่อ 80 กว่าปีที่ผ่านมา และในยุคเริ่มแรกที่นี่เป็นชุมทางของการค้าขนสัตว์ แต่พอทางการอาร์เจนตินาประกาศให้แถบนี้เป็นพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเมื่อปี 1937 จากนั้นเมืองก็ค่อยๆ ขยับขยายและกลายเป็นชุมทางของนักท่องโลก ร้อยทั้งร้อยของคนมาเอล คาลาฟาเต ล้วนแต่มีจุดหมายเดียวกันคือไปสัมผัสอุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรสอันโด่งดัง

แน่นอนนางเอกของอุทยานนี้คือธารน้ำแข็งเปอริโต มอเรโน ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปราวๆ 80 กิโลเมตร แต่ก่อนจะไปถึงธารน้ำแข็ง รถจะจอดให้แวะลงไปล่องเรือชมอีกมุมของธารน้ำแข็งก่อน โดยเรือจะพาล่องทะเลสาบกระเถิบเข้าใกล้ธารน้ำแข็ง โชคดีมาคราวนี้ดินฟ้าอากาศเป็นใจ มีทั้งแสงแดดมาช่วยคลายหนาว แถมลมยังไม่แรงเกินไป จำได้ว่าคราวก่อนนี้ ฉันแทบไม่อยากผละจากฮีทเตอร์อุ่นๆ ในเรือ เพราะลมหนาวกรรโชกแรง อากาศเย็นเฉียบ

เรือจะพาทุกคนไปจอดทอดสมออยู่ใกล้กับธารน้ำแข็ง ให้บรรดานักท่องเที่ยวได้ลั่นชัตเตอร์กันอย่างเมามัน เห็นแล้วต้องบอกว่าสมราคามรดกโลกจริงๆ แต่ที่น่าเสียดายคือมาเที่ยวนี้ไอซ์เบิร์กลายเป็นก้อนสวยๆหายเกลี้ยง เข้าใจว่าภาวะโลกร้อนทำให้ละลายไปหมด

เสร็จจากล่องเรือ คราวนี้ขึ้นรถบัสไปเข้าอุทยาน ฉันชอบอุทยานนี้มาก เพราะเขาทำสะพานไม้เอาไว้ให้เดินอย่างดี แถมมีป้าย และแผนที่บอกทิศทางอย่างชัดเจน และมีลิฟท์สำหรับผู้สูงอายุ และคนพิการด้วย

ฉันค่อยๆ เดินเลาะเลี้ยวไปบนสะพาน ค่อยๆ พาตัวเองขยับเข้าใกล้ธารน้ำแข็งผืนใหญ่ ธารน้ำแข็งที่อยู่ในเขตอุทยานนี้ เกิดจากการที่หิมะตกบนเทือกเขาแอนดีส พอตกมากเข้าก็กลายเป็นหิมะที่ทับถมกันมากขึ้น เวลาเคลื่อนไปนับพันปี หิมะเหล่านี้ก็แปลงสภาพกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง และค่อยๆ ไหลลงมาจนเกิดเป็นธารน้ำแข็ง

เปอริโต มอเรโนถือว่าเป็นธารน้ำแข็งขนาดมหึมา เป็นกำแพงน้ำแข็งกว้างราวๆ 5 กิโลเมตร ดูเหมือนทุกคนอยากเห็นเปอริโต มอเรโนในระยะประชิด จึงพากันขยับตัวเข้าใกล้ ไปยืนเรียงหน้ากระดานตรงหน้าผา ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับธารน้ำแข็ง มีเพียงทะเลสาบอาร์เจนติโนกั้นไว้แค่นิดเดียว บางครั้งก็ได้เห็นธารน้ำแข็งแตกตัว และทลายลงสู่ผืนน้ำ เสียงดังครืนๆ เป็นระยะ

ทุกคนถูกธารน้ำแข็งสะกดให้อยู่นิ่ง ราวกับว่าพวกเขาต่างกำลังสักการะอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า...

  จากกรุงเทพสายการบินเคแอลเอ็ม มีเที่ยวบินไปบัวโนสไอเรสทุกวัน โดยจะบินไปแวะเปลี่ยนเครื่องที่อัมสเตอร์ดัมก่อน คลิกไปดูเที่ยวบินได้ที่ www.klm.co.th/ นอกจากนี้ยังมีสายการบินแอร์ฟรานซ์ บินเข้าบัวโนสไอเรสด้วยเช่นกัน คลิกไปดูรายละเอียดเที่ยวบินได้ที่ www.airfrance.co.th/ จากบัวโนสไอเรสมีเที่ยวบินไปเอล คาลาฟาเต้วันละหลายไฟลท์ ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง ค้นดูได้ที่ www.skyscanner.co.th

   บัวโนสไอเรสมีที่พักเยอะ แต่ถ้าอยากมีประสบการณ์แปลกใหม่ลองพักกับเจ้าบ้าน ลองใช้บริการเว็บไซต์จองที่พักแอร์บีเอ็นบี มีที่พักให้เลือกมากกว่า 65,000 เมืองใน 191 ประเทศ และนับวันนักท่องโลกยิ่งให้ความสนใจใช้บริการกันมากขึ้น เพราะการจองสะดวกสบายและให้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนพักโรงแรม บางบ้านมีเครื่องครัวให้ครบครัน บางบ้านเจ้าบ้านมาให้คำแนะนำข้อมูลท่องเที่ยวด้วยตัวเอง เรียกว่าอบอุ่นกว่าพักโรงแรม คลิกไปดูรายละเอียดที่ www.airbnb.co.th/  

Photo & Story by กาญจนา หงษ์ทอง

SHARE