counters
hisoparty

Work Life Balance ในสไตล์ของ คุณณัฐพล จุฬางกูร

3 years ago

             ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสพิเศษที่เราได้พบกับนักธุรกิจหนุ่มมาดดีคนนี้อีกครั้ง โดยในครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งไหนๆ เพราะนอกจากเขาจะมานั่งพูดคุยถึงการทำงาน และแนวความคิดที่หล่อหลอมให้เขาเป็นเขา ที่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เขายังให้เกียรติมาเป็นนายแบบถ่ายภาพแฟชั่นเซ็ต Balancing Life with Nature and Simplicity ที่ถ่ายทอดความงดงาม และความยิ่งใหญ่ของหนึ่งในอาณาจักรหลายหมื่นล้านของเขาอีกด้วยและบุคคลท่านนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คุณณัฐ – ณัฐพล จุฬางกูร President of Summit Windmill Group, Executive Director of Summit Corporation ผู้เป็นเจ้าของโรงเรียนนานาชาติชื่อดังย่านบางนา รวมถึงเจ้าของโรงแรม Le Méridien Suvarnabhumi ที่อยู่ท่ามกลางความสวยงามของสนามกอล์ฟ Summit Windmill Golf Club ซึ่งหากจะนั่งไล่เรียงตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาทั้งหมด คงกินพื้นที่ไม่น้อย เพราะคุณณัฐพลนั้นจัดเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจที่สวมหมวกไว้หลายใบเหลือเกิน...
             “ในเรื่องการทำงานตอนนี้ผมรับผิดชอบอยู่หลายหน้าที่ด้วยกันครับ ซึ่งอันที่จริงก็ดูแลหลายหน้าที่มานานแล้วนะ (ยิ้ม) หลักๆ ที่ผมดูแลอยู่มีสนามกอล์ฟ 2 แห่ง คือที่เชียงใหม่ และสนามกอล์ฟ Summit Windmill Golf Club ที่บางนาแห่งนี้ โดยภายในตัวสนามกอล์ฟเองก็เป็นที่ตั้งของโรงแรม Le Méridien Suvarnabhumi Bangkok Golf Resort & Spa และ Summit Windmill Golf Residence ในส่วนของ Le Méridien ประกอบด้วยห้องพัก 223 ห้อง ส่วนทาง Residence มี 70 ห้องด้วยกัน นอกจากนี้ผมทำในเรื่องของอพาร์ตเมนต์ให้เช่าอีก 300 กว่าห้อง รวมถึงมีโรงเรียนนานาชาติเบิร์คลีย์ (Berkeley International School) ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามศูนย์การแสดงสินค้าไบเทค บางนา และแน่นอนในส่วนธุรกิจหลักของครอบครัวเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ากลุ่มซัมมิทประกอบธุรกิจเกี่ยวกับชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งดำเนินการมา 50 กว่าปีแล้ว สิ่งนี้เป็นอะไรที่เราคลุกคลีกันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่ดำเนินงานมา แล้วมาแตกย่อยแตกแขนงสิ่งที่เราอยากทำออกไปอีกเรื่อยๆ”

สิ่งที่ทำในปัจจุบันมีมากมายหลากหลายอยู่แล้ว ยังมีโปรเจกต์อะไรที่น่าสนใจในอนาคต
             “โปรเจกต์เยอะเหมือนกันนะครับ คือเรากำลังจะทำห้องประชุมห้องบอลรูม เพราะว่าเรามีพื้นที่ย่านบางนาอีกมากพอสมควร แล้วทางด้านของเชียงใหม่ เราก็อยากสร้างทางโรงแรมไว้ภายในตัวสนามกอล์ฟขนาดสัก 70 ห้อง เป็นลักษณะของ 5 ดาว 6 ดาว ตอนนี้กำลังออกแบบอยู่ครับ ด้วยความที่เป็นช่วงโควิดทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวชะลอตัว เราใช้เวลาช่วงนี้ในการพัฒนาโรงแรมพัฒนาอะไรไปเรื่อยๆ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลายอย่างให้ดีขึ้นคือเราไม่อยู่นิ่ง อย่างตัว Residence ตอนนี้อยู่ในช่วงของการ Renovate รวมถึงตัวภัตตาคารร้านอาหารอะไรต่างๆ ด้วยครับ และอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่สำคัญ ก่อนหน้านี้ที่เรากำลังดำเนินการอยู่คือ Summit Tower ที่อยู่ราชเทวีครับ ที่ดินตรงนั้นประมาณ 7 ไร่กว่า เป็นพื้นที่ที่น่าจะสวยที่สุดของกรุงเทพฯ ณ ตอนนี้ เพราะว่าติดถนนใหญ่ทั้งสองข้างและติดรถไฟฟ้าด้วย เรากำลังสร้างเป็นทาวเวอร์ เป็นลักษณะของสำนักงานให้เช่า กับโรงแรม สำหรับโครงการนี้ถือเป็นโปรเจกต์ยักษ์ของเราเลยครับ”

การที่เติบโตมาในครอบครัวของนักธุรกิจ สิ่งที่ได้เรียนรู้ หรือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอนในเรื่องของการทำงานมีอะไรบ้าง
             “สิ่งที่คุณพ่อสอนคือ ไม่ว่าจะทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างขอให้เรารู้จริง ต้องเข้าไปคลุกคลีเข้าไปเรียนรู้ให้รู้แจ้งเห็นจริง เพราะเมื่อวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เราก็จะรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้วอีกอย่างที่คุณพ่อสอนก็คือ เวลาลงสนามขอให้ลงแบบเป็นคู่แข่งขันจริงๆ เลย ไม่ใช่ลงไปแค่หวังเป็นผู้เล่นคนหนึ่ง ไม่ใช่ หวังเป็นผู้ขับเคลื่อน คือทำอะไรขึ้นมาขอให้เป็นอันดับ 1 2 3 เลย คุณพ่อจะคิดอย่างนี้ตลอด ไม่ว่าจะทางด้านของย่านบางนาเอง คุณพ่อจะให้นโยบายมาเลยว่าไม่ว่าอย่างไรเราต้องยืนหนึ่งในสาม จะไม่ต่ำกว่านี้ ทำให้เราทุกคนพยายามพัฒนาตัวเอง พัฒนางานอยู่เรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้เป็นนโยบายของคุณพ่อมาเลยตั้งแต่ไหนแต่ไรครับ ทำอะไรต้องทำจริงจัง ลงไปลุยด้วยตัวเอง รู้ลึกรู้จริงในทุกสิ่งที่เราทำครับ”

หลักในการทำงานแบบฉบับของคุณ
             “หลักในการทำงานของผมคือเรื่องของความอดทนอดกลั้นเพราะผมคิดว่าเวลาที่เราทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง ยิ่งผมเป็นคนที่มีความรับผิดชอบที่หลากหลาย เราจะต้องอดทนในเรื่องปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในหลายรูปแบบ เพราะว่าเราทำธุรกิจหลายอย่างมันก็มีปัญหาให้เราต้องแก้ไขอยู่แล้ว คือถ้าเกิดคนที่ไม่อดทน ก็จะไม่เอา เรื่องนี้ไม่รับรู้ไม่รับทราบ ปัดนู่นนี่ไป แต่ผมเป็นคนเปิดกว้างแล้วยินดีที่จะรับฟังทุกปัญหา ผมคิดว่าเราควรทำแต่ละวันให้มันมีประโยชน์ที่สุด คือเวลาที่มีคนมาปรึกษาเราหรือใครเข้ามาคุยกับเรา เราเองต้องมีบทสรุปให้เขา ไม่ใช่เอาไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยทำ สำหรับผมทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องอะไร ผมจะเคลียร์วันต่อวัน แม้จะต้องทำงานอยู่จนเย็น จนค่ำต้องเคลียร์ให้หมด เพราะผมคิดว่าวันรุ่งขึ้น พนักงานเขาจะต้องรอสิ่งนี้จากเราซึ่งเราเองก็ต้องมีเรื่องใหม่ที่จะต้องเคลียร์อีก ฉะนั้นเราต้องสามารถที่กลับบ้านไปแล้วนอนหลับได้สบายโดยไม่มีอะไรคั่งค้าง ผมจึงคิดว่าเราต้องอาศัยความอดทนอดกลั้นเป็นหลักในการทำงานด้วยครับ”

วิธีการรับมือกับปัญหา
             “ทุกปัญหามีทางออกครับ ผมเองในฐานะผู้บริหารจะคิดเสมอว่าถ้าเราแก้ไขไม่ได้แล้วใครจะแก้ไขได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเข้าไปร่วมรับรู้กับปัญหานี้ๆ แล้วก็พยายามขจัดปัญหาแต่ละอย่างๆ ให้ออกไปให้ได้ เชื่อว่ามันต้องมีทางออก ผมมองปัญหาว่าแก้ไขได้หมด เพียงแต่บางอย่างต้องรอระยะเวลาในการแก้ไข บางทีด้วยปัญหาหลายอย่างมันต้องประชุมกันหลายฝ่ายหรือเคาะกันหลายคน แต่ว่าถ้าสุดท้ายถ้าเกิดเราออกโรงแล้ว ปัญหามันต้องแก้ไขได้ และเราต้องลงมาร่วมกับพนักงานหรือลูกน้องในการแก้ปัญหานั้นๆ ครับ”

หลักการบริหารคน
             “การบริหารคนนี่ยากที่สุด สำหรับส่วนตัวผม ผมคิดว่าเราต้องให้พนักงานมีที่พึ่ง ผมถึงบอกว่าผมเป็นคนเปิดกว้าง ไม่ว่าระดับไหนขอให้เข้ามาคุย เข้ามาพูด และผมเป็นคนที่เดินไปไหนมาไหนใครจะเข้ามาคุยก็สามารถทำได้ ผมไม่ได้ปิดกั้นว่าพนักงานต้องระดับไหนถึงจะคุยกับเราได้ผมคุยได้หมดขอแค่เข้ามา นอกจากนี้ผมก็มีแบบสอบถามหรือกล่องความคิดเห็นที่ทุกคนสามารถเขียนปัญหาต่างๆ มาได้ ผมรับรู้แล้วผมจะมีหน่วยงานที่เปิดตู้รับจดหมายหรือว่าตู้แสดงความคิดเห็นเหล่านี้ ถึงผมหมดผมมานั่งดูนั่งแก้ไข ตอบกลับไปให้เป็นการสื่อสารโต้ตอบทั้งสองทาง มันก็เลยกลายเป็นว่าทุกอย่างมันราบรื่นไปได้ด้วยดี”

ด้วยการทำงานที่หลากหลายแบ่งเวลาการใช้ชีวิตด้านอื่นๆ อย่างไร
            “สำหรับผม ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในทีมผู้บริหารของเรา เราจะแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบได้ค่อนข้างจะชัดเจน หน้าที่ดูแลค่อนข้างจะชัดเจน ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องบริหารจัดการ เราให้ Authorized เขา มีปัญหาอะไรบอกได้ หรือว่าเราจะลงไปลุยเองเราก็ลงไปลุยได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องให้เป็นหน้าที่ของทางเขาบริหารจัดการ เราต้องเชื่อใจเขาในการทำอย่าคิดว่าเราเป็นศูนย์กลางทั้งหมด เพราะว่าอย่างคนที่เขารับผิดชอบงานนั้นๆ เขาก็จะมีแนวทางของเขา แม้จะทำผิดจะทำถูกขอให้งานมันเดินไปข้างเถอะ ไม่ใช่ทำแล้วไปติเขา ไปติงเขาทุกอย่าง สิ่งนี้จะทำให้เขาใส่เกียร์ว่างกัน เพราะเขาคิดว่าสุดท้ายคุณณัฐก็เคาะอย่างนี้ เราจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้ เพราะแต่ละคนเราจ้างเขามาเงินเดือนสูงๆ เราต้องปล่อยให้เขามีโอกาสได้ทำ แล้วมาคุยกันว่ามันเป็นอย่างไร ให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกันให้เวลาเขาทำงานเดือนสองเดือน ถ้าทำได้ก็ดี ทำไม่ได้เรามาลองเปลี่ยนวิธีกันนะเราต้องไว้ใจผู้บริหารของเรา เพื่อตัวเราเองจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น สำหรับเวลาทำงานของผมก็เข้าเช้าเลิกเย็นเหมือนกันครับ เหมือนพนักงานคนหนึ่ง จากนั้นหลังเลิกงานก็ไปออกกำลังกายไปฟิตเนส ผมจะเซ็ตไว้อาทิตย์ละ 3 วัน นอกจากนั้นก็เป็นเวลาพักผ่อนไปทานข้าวกับเพื่อนฝูงบ้าง หรือทำกิจกรรมอะไรที่เราอยากทำ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานกับเล่นฟิตเนส (หัวเราะ) เราจะต้องไปพบเจอกับคนอื่นนู่นนี่นั่นบ้าง อยากจะไปสปา อยากจะไปเที่ยวเล่นอยากจะไปชอปปิ้งก็ไปคือเมื่อเรารับผิดชอบทุกอย่างได้ครบถ้วนหมด เราจัดสรรเวลาได้ครับ”

Work Life Balance
            “ใช่ครับ ตามความหมายของเราคือมันไม่ได้มีอะไรมากอะไรน้อย เพียงแต่ว่า ช่วงเวลาทำงาน ก็คือฉันต้องทำงาน ฉันจะทำงาน ช่วงเวลาที่พักผ่อน เป็นเวลาของฉัน เป็นเวลาส่วนตัว ฉันก็จะเป็นเวลาส่วนตัว”

ความคาดหวังในอนาคต
            “ทุกคนมีความฝันของตัวเอง ความฝันของผมในแต่ละอย่างในแต่ละปีผมสามารถทำให้เป็นจริงได้ อย่างตอนแรกผมอยากเป็นเจ้าของโรงเรียน ผมก็ทำโรงเรียนนานาชาติ และสามารถทำให้มันประสบความสำเร็จ หรือแม้แต่สนามกอล์ฟที่เราทำขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ตทางด้านของโรงงาน เราก็ทำมันขึ้นมาได้ ซึ่งพอทำสนามกอล์ฟเสร็จ ก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นทำโรงแรมต่อสิ เราก็ทำโรงแรมจนสำเร็จ แล้วไปอาคารสำนักงาน คือผมไม่ใช่คนที่ไปลงทุนโน่นนี่นั่นตลอด ผมเป็นคนที่ค่อยๆ ก้าว คือถ้าทำสิ่งนี้ประสบความสำเร็จ จึงคิดต่อว่าโปรเจกต์ของเราจะเป็นอะไรต่อไป ถ้าพูดถึงเป้าหมายของผม ผมไปถึงมันหมดแล้ว แต่ ณ ตอนนี้คงมุ่งไปที่ซัมมิท ทาวเวอร์ ที่ราชเทวี เพราะถือว่าเป็นบิ๊กโปรเจกต์มาก เราก็จะไปโฟกัสกับตรงนั้นในช่วงนี้ เพราะเราอยากให้มันประสบความสำเร็จครับ”

อะไรที่ทำให้เราเป็นคนมีพลังในการก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลาแบบนี้
            “ความฝันนี่แหละครับ หนึ่งคือเรามีความฝันของตัวเราเอง กับเรามองย้อนไปสมัยคุณพ่อ ตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อยังทำโรงงานแรก มีแค่โรงงานแรก แต่ท่านก็อยากขยายกิจการเรื่อยๆ คือ ท่านเป็นคนที่มีเป้าหมาย แบบตั้งเป้า 1 เป้า 2 เป้า 3 เป้า 4 ไปเรื่อย ๆ ขยายนู่น ขยายนี่ ไปเรื่อยๆ คือคุณพ่อสั่งสอนเรามาตั้งแต่เด็ก ในเรื่องลักษณะของความคิดเราต้องมีการพัฒนา ตัวเราเองต้องมีการพัฒนาตัวเอง เราจึงคิดว่า การพัฒนาตัวเองของเรา คือทำตรงนั้นเสร็จ ต้องไม่ย่ำอยู่กับที่ เราต้องพยายามสานต่อสิ่งที่คิดว่าศักยภาพเรายังพอมีที่จะสามารถขยายแล้วก็เติบโตได้อีก มันเป็นอะไรที่ไม่ใช่มองแค่ตระกูลเราแล้วตอนนี้ เรารู้สึกว่าบางทีเราต้องคิดถึงระดับชาติ ระดับประเทศไปแล้ว”

อะไรที่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
            “ครอบครัวครับ คือเวลาเรามีอะไรเราปรึกษาครอบครัว ครอบครัวจะซัพพอร์ตเราตลอด ถ้าเกิดไม่มีครอบครัว หลายเรื่องที่เราเจออาจทำให้เราท้อ ไม่อดทน เราก็จะอยู่แค่นี้ ป่านนี้เราคงจะเป็นเจ้าของอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วก็จบ เพราะเราคิดว่า พอเแล้วล่ะ แต่นี่ด้วยความที่เราเติบโตมาเราเห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานตลอด ขนาดท่านสร้างธุรกิจไว้ใหญ่โตแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่หยุดยังคงขยายกิจการ คือ สิ่งหนึ่งที่ท่านทำให้เราเห็นคือ คนเราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ต้องคิดว่าเราทำได้ แล้วเราก็จะทำได้ครับ”

ชีวิตที่สมบูรณ์แบบของ คุณณัฐพล จุฬางกูร
           “ชีวิตที่สมบูรณ์แบบสำหรับผม คงเป็นการมีครอบครัวที่อบอุ่นการได้เห็นคนที่อยู่รอบข้างของผม คนที่ผมรักมีความสุขที่สุด คือให้เขามีความสุขอย่างไรก็ได้ในแบบของเขา ในแนวของแต่ละคน ผมคิดว่าถ้าไปถึงจุดนั้นได้ผมคงจะมีความสุขที่สุด เพราะการได้มองเห็นคนที่เรารักมีความสุข มันก็จะทำให้เรามีชีวิตที่มีความสุข และสมบูรณ์ในแบบของเราครับ”

Story: Arunlak
Photo: Veeraphol

SHARE