หากเอ่ยชื่อ คุณน้องเล็ก - ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร คุณรู้จักเธอแบบไหน สำหรับเราเธอเป็นแบบนั้น เป็นแบบเดิมกับเมื่อเกือบ 14 ปีที่แล้ว ที่เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์พูดคุยกับเธอในภาพของสาวสวยรุ่นใหม่ไฟแรงเปรี้ยวเข็ดฟัน ที่เพิ่งกลับมาเริ่มต้นทำธุรกิจของครอบครัว ผ่านมานับสิบปี มีโอกาสได้พบเจอเธออยู่บ่อยครั้งตามงานสังคม เธอก็ยังคงเป็นแบบนั้น จวบจนมาวันนี้ วันที่มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงในชีวิตเธอ สำหรับเราเธอก็ยังคงเป็นแบบนั้น คือเป็นแบบที่ไม่ว่าใครก็ประทับใจกับความเป็นคนตรงไปตรงมา จริงใจ และเป็นกันเองเสมอในคอลัมน์ Highly Sophisticated ครั้งนี้เรามีโอกาสได้พบเพื่อคุยกับเธอแบบจริงจังอีกครั้ง เพื่ออัพเดทในเรื่องราวของธุรกิจ ที่เธอกำลังปลุกปั้นอยู่ พร้อมทั้งบอกเล่าถึงการดูแลรักษา และสืบทอดตำนานของครอบครัว ในฐานะของผู้บริหารรุ่นที่ 4 ของอาณาจักรที่มากด้วยคุณค่าแห่งนี้
ณ วันนี้ของนายเลิศ กรุ๊ป
“นายเลิศ กรุ๊ป เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีครึ่งที่แล้ว ซึ่งในส่วนของบ้านปาร์คนายเลิศ ได้เปิดขึ้นก่อนที่โรงแรมจะขายไปนะคะ เพราะเดิมเราตั้งใจจะนำบ้านคุณยาย (ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ) มาเป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าชมได้ แต่ทีนี้พอโรงแรมได้ขายไป มีคนให้ความสนใจมาก ทุกคนคิดว่าปาร์คนายเลิศจะไม่มีแล้ว ซึ่งเราก็เข้าใจนะคะ เพราะว่าปาร์คนายเลิศมีอดีต มีเรื่องราว ทุกคนไม่คิดว่าปาร์คนายเลิศจะเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับเล็ก ไม่ว่าอย่างไรความเป็นปาร์คนายเลิศก็ต้องอยู่กับประเทศไทย และในโลกใบนี้ต่อไป คุณทวด (นายเลิศ เศรษฐบุตร หรือ พระยาภักดีนรเศรษฐ) สร้างตรงนี้มา 140 ปีที่แล้ว ซึ่งสำหรับเล็กนี่คือความสวยงาม ที่นี่เป็นตำนานที่มีเรื่องเล่าเยอะมากเลย เพราะฉะนั้นเล็กจึงคิดว่าอยากจะต่อยอด แล้วสืบทอดตรงนี้ต่อไป ไม่เคยคิดจะหยุด จะปิด จะเลิก หรืออะไรเลยค่ะ และในฐานะที่เล็กเป็นรุ่นที่ 4 ของปาร์คนายเลิศ เล็กจะสืบทอดสิ่งที่คุณทวด คุณตา คุณยายสร้างเอาไว้ให้อยู่ต่อไป และไม่เพียงให้เป็นชื่อเสียงที่ดีในประเทศไทยเท่านั้น เล็กอยากให้แบรนด์นี้ ชื่อนี้ เผยแพร่ไปในต่างประเทศด้วย
“ในส่วนโปรเจ็คท์ตอนนี้ มีบ้านปาร์คนายเลิศ ที่เราเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ มีร้านอาหาร 2 ร้าน คือ Ma Maison (มา เมซอง) ซึ่งเป็นร้านอาหารไทย ไทยโบราณ แต่ไม่ใช่ไทยในวัง คือไทยเหมือนที่คุณตาคุณยายคุณทวดได้ทานกันมา เมนูไหนเป็นเมนูโปรดหรือว่าเมนูไหนเป็นเมนูที่คุณทวดคิดขึ้นมา เราก็นำมาใส่ไว้ในเมนูของร้านอาหาร Ma Maison ส่วน Lady L (เลดี้ แอล) เป็นร้านอาหารฝรั่ง แต่ฝรั่งยังไงก็ยังเป็น Home Cook อยู่ คืออาหารร้านเรากินจานหนึ่งต้องอิ่ม (หัวเราะ) ในส่วนของ Lady L เราทำขึ้นมาให้คุณยายเลย เลดี้ก็คือท่านผู้หญิง แอลก็คือเลอศักดิ์ ซึ่งมันเป็นไลฟ์สไตล์ของคุณยาย คุณยายชอบเดินทาง ชอบเห็นโลก คุณยายเป็นรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ไลฟ์สไตล์ที่คุณยายได้ทำมา ได้อยู่ ได้กินมา เราอยากจะนำมาเผยแพร่ให้คนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างไร คุณยายเป็นคนที่เกิดในยุค 50 แต่ว่าเป็นคนที่ทันสมัยมาก แต่งตัวมีดีเทล กระเป๋ารองเท้า ไม่จำเป็นต้องของแพงหรือต้องแบรนด์เนมนะคะ แต่ว่ามีรสนิยมการแมทช์ของแล้วทำให้ดูดี คุณยายเป็นคนชอบแต่งตัว แต่ไม่ใช่แฟชั่นนิสต้า ไม่ได้ตามเทรนด์ แต่ว่าสไตล์ของคุณยายนี่อยู่ได้นาน ซึ่งเหมือนการที่เราทำปาร์คนายเลิศนี่แหละค่ะ ปาร์คนายเลิศไม่ใช่สิ่งที่เราทำคนแรก ไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุด เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่เราทำคือ ให้อยู่ได้นาน Timeless นี่แหละค่ะคือสิ่งที่คุณทวด คุณตา คุณยายปลูกฝั่งพวกเรามา ซึ่งแน่นอนว่าเล็กจะสืบทอดสิ่งเหล่านี้ต่อไป
“และโปรเจ็คท์ใหม่ที่เรากำลังจะทำคือ นายเลิศ ปาร์ค โฮเทลแอนด์เรสซิเดนซ์ เป็นโรงแรม 60 ห้อง ซึ่งในตัวโรงแรมก็จะมีคอนโดขายด้วย คาดว่าประมาณอีก 2 ปีครึ่งเสร็จ เล็กคิดว่าซอยสมคิดหรือว่าถนนวิทยุตรงนี้ เป็นอะไรที่คนซื้อแล้วมาอยู่อาศัยจริง คือมันเป็น Neighborhood ที่น่ารัก และเล็กคิดว่าในรั้วของปาร์คนายเลิศตอนนี้มันเกือบจะครบแล้ว คือมีทั้งการกิน การใช้ชีวิต มีจัดเลี้ยง แต่ว่าตอนนี้ยังขาดการหลับนอน การอยู่ ก็เลยอยากจะสร้างโรงแรม และสร้างคอนโดขึ้นมา อยากจะให้มีครบวงจรในรั้วน่ารักๆ ของเรา (หัวเราะ)
“นอกจากที่ว่ามาก็มีอีกโปรเจ็คท์หนึ่งที่เล็กกำลังทำอยู่ ได้เริ่มเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว คือเราเพิ่งเซ็นสัญญากับ British Butler Institute ซึ่งเป็นโรงเรียนสอน Butler ที่ประเทศอังกฤษ เล็กอยากจะทำอะไรเพื่อส่งเสริมกับประเทศไทย เพราะเล็กเห็นแล้วว่าประเทศเรามีทุกอย่าง ทั้งโรงเรียนการโรงแรม ทั้งโรงแรมที่ดี คนไทยก็น่ารัก ชอบ Service แล้วเป็นคนที่ยิ้มแย้ม เป็นชาติที่ Friendly เรามีครบแต่จะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถยกระดับตรงนี้ขึ้นอีก โดยใส่ความเป็นมืออาชีพเข้าไป รวมถึงภาษาที่ใช้ หลายๆ ครั้งที่เล็กเห็นหลายโรงแรมที่สวยแต่การบริการไม่ดีมันก็จบนะ ทุกอย่างมันต้องไปด้วยกัน ถึงจะทำให้โรงแรมนั้นประสบความสำเร็จ ที่สำคัญตอนนี้ลูกค้ามีตัวเลือกเยอะมากมีโรงแรมเปิดทั่วทุกมุมถนน ซึ่งเล็กคิดว่าดี แต่เราอย่ามาแข่งกันด้วยราคาเลย เรามาเสริมให้กันด้วยการ Service ดีกว่า เพราะฉะนั้นเล็กจึงเปิด Nailert Butler ขึ้นมาเพื่อเสริมจุดนั้น ซึ่งเล็กก็อยากจะให้คนที่อยู่ในธุรกิจนี้ หรือว่าสนใจในเรื่องเหล่านี้มาเรียนกันค่ะ เพื่อที่ทุกคนจะได้เป็นมืออาชีพในด้านการบริการไปด้วยกัน ที่ผ่านมาหลายๆ คนที่มาเรียนมาจากหลากหลายสาขามากไม่ใช่แค่โรงแรมเท่านั้น เล็กตกใจเหมือนกัน ตอนแรกเล็กคิดว่าจะมีแค่โรงแรม แต่ว่าตอนนี้มีทั้ง Private Jet เรือยอร์ช ด้วยทุกอย่างมันคือการบริการไงคะ ทุกคนต้องการการบริการที่เหนือระดับ ตอนแรกเราก็กลัวนะคะว่า เอ๊ะ! เป็นปาร์คนายเลิศแล้วมาเปิดตรงนี้ จะมีใครส่งคนมาเรียนหรือเปล่า แต่เล็กขอบอกกับทุกคนไว้เลยว่าเล็กไม่ได้มาเปิดเพื่อตัวเอง แต่เล็กต้องการให้ทุกคนได้ดีไปด้วยกัน”
ณ วันนี้ของคุณน้องเล็ก ปาร์คนายเลิศ
“ชีวิตเล็กตอนนี้อยู่ที่ปาร์คนายเลิศซะ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเล็กก็ไปทำโน่นนี่นั่นส่วนตัวบ้าง คือจริงๆ แล้วสำหรับเล็ก การมาที่ปาร์คนายเลิศไม่ใช่เหมือนมาทำงาน เพราะว่าที่นี่มันคือ My World (หัวเราะ) จริงๆ ในกิจวัตรประจำวันเล็กตื่นเช้ามา 6 โมงครึ่ง แล้วก็อาบน้ำแต่งตัวมาถึงที่นี่ประมาณ 9 โมงครึ่ง 10 โมง จากนั้นก็อยู่ที่นี่ทั้งวัน ทานข้าวก็ทานที่นี่ แต่ถ้าเกิดเล็กอยากจะออกไปโลกข้างนอก เพื่อดูว่าใครเขาทำอะไรกันอยู่บ้างก็จะเอาเวลากลางวันหรือว่าตอนเย็นไป คือเราไม่ได้ปิดโลกของเราอยู่ที่ตรงนี้อย่างเดียว เพราะว่าเราก็ต้องรู้ว่าตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปยังไงบ้างแล้ว เทรนด์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร คนชอบอะไร คนเสพอะไร คือเราก็ต้อง Open Mind นิดหนึ่ง (หัวเราะ) ซึ่งหลังจากทำงานเสร็จปุ๊บ เล็กก็จะไปเล่นโยคะของเล็กทุกวันเหมือนเดิม วันละ 1 ชั่วโมง ถ้าเกิดไปโยคะไม่ทัน ก็จะไปวิ่งที่สวนลุมพินีแทน พอหลังจากเล่นกีฬาปุ๊บก็หาอะไรทาน เสร็จแล้วก็กลับบ้านนอน แล้วชีวิตก็วนมาอย่างนี้เกือบทุกวัน ซึ่งสำหรับเล็กนี่มันไม่ใช่ความจำเจ เพราะการที่เล็กเข้ามาทำงานตรงนี้ทุกๆ วัน ไม่มีอะไรเหมือนเดิม คนที่เล็กเจอก็ไม่เหมือนกัน ลูกค้าที่เดินเข้ามาที่นี่ก็ไม่เหมือนกัน ทำให้เราได้เห็นคนหลายๆ แบบ และที่สำคัญตอนนี้เล็กต้องการโชว์ความเป็นนายเลิศปาร์คออกมาให้เยอะที่สุด เล็กจึงดูแลทุกอย่างค่อนข้างละเอียด ลงดีเทลกับทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นผ้าเช็ดปากที่ใช้ก็ต้องเป็นผ้าลินิน เพราะท่านผู้หญิงชอบ ฯลฯ คือเล็กทำทุกๆ อย่างทุกวันนี้มันไม่ใช่เพื่อตอบสนองชีวิตของเล็ก แต่นี่คือส่วนหนึ่งในการที่เล็กสืบทอดในสิ่งที่คุณทวดสร้างมา สิ่งที่คุณยายทำต่อ สิ่งที่คุณแม่ทำมา คือเล็กมาแค่สานต่อเองค่ะ ซึ่งเราเทียบกับพวกท่านไม่ได้จริงๆ ที่สร้างสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ยุคนั้น และตอนนี้เล็กก็อยากจะทำให้ปาร์คนายเลิศอยู่ในยุคปัจจุบัน และในอนาคตอีกต่อๆ ไปเรื่อยๆ แล้วคำว่าปาร์คนายเลิศแต่ก่อนนั้นไม่ได้เป็นแบรนด์ แต่เป็นชื่อ ซึ่งวันนี้เล็กก็อยากจะทำชื่อนี้ให้เป็นแบรนด์ แล้วก็ให้อยู่คงที่ และก็ยาวนานต่อไปค่ะ”
ความสุข ณ วันนี้
“การได้มาทำงาน ได้มาเจอพนักงาน ได้มาเจอปัญหา ได้มาเจอต้นไม้ นี่คือชีวิตจริงๆ เราเป็นคนไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบการเปลี่ยนแปลง เล็กชอบทำอะไรที่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ไม่ใช่กับตัวเองนะคะ แต่กับสถานที่ที่เราทำงานอยู่ ประกอบกับสิ่งที่คุณแม่ไว้ใจ คือคุณแม่ให้เล็กมาเป็นกรรมการผู้จัดการ ดูแลคน 167 คน บนสถานที่ที่เป็นตำนานของครอบครัวที่บรรพบุรุษสร้างไว้ มันไม่ใช่เรื่องที่ขำๆ เราต้องตั้งใจ แต่เล็กก็ไม่ได้กดดันนะ เพราะเล็กรัก เล็กเชื่อว่าเวลาเราทำอะไรกับสิ่งที่เรารัก มันออกมาจากใจ แล้วมันสนุก ยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีด้วยยิ่งมีความสุข และรู้สึกชื่นใจ”
ความคาดหวังในอนาคต
“สิ่งที่คาดหวังเหรอคะ อยากให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือว่าลูกค้า จริงแล้วไม่ได้เรียกว่าลูกค้าสิ (ยิ้ม) เหมือนเป็นแขกของบ้านมากกว่า ให้ทุกคนมาที่นี่แล้วแฮปปี้ก็พอแล้วค่ะ จริงๆ นะคือเราทำทุกวันให้มันดีที่สุด โอเคธุรกิจมันก็ต้องเติบโตอยู่แล้ว เล็กก็อยากจะเห็นปาร์คนายเลิศทั่วโลก ซึ่งสิ่งนั้นเป็น Business Plan แต่ Emotional Plan นี่คืออยากเห็นทุกคนมีความสุข อันนี้พูดจริงๆ นะ คือเล็กโกหกไม่เป็นอยู่แล้ว เล็กสร้างภาพไม่เป็น” (หัวเราะ)
ในเรื่องส่วนตัวบ้าง ณ วันนี้ความรักคืออะไร
“ความรักคือพลัง ความรักจากหลายๆ สิ่ง อย่างที่เล็กบอกเมื่อกี้ เล็กทำตรงนี้เพราะรัก พอรักปุ๊บแล้วพลังมันก็จะออกมา ไม่ว่าความรักพ่อ ความรักแม่ ความรักแฟน ทุกอย่างต้องเริ่มต้นมาจากความรักก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดไม่รักจริงมันก็ทำออกมาได้ไม่ดี”
แสดงว่าคุณเชื่อในความรัก
“เชื่อค่ะ เล็กว่าทุกอย่างมันต้องออกมาจาก Love และ Passion คือสมมุติแม่บอกเล็กทำอันนี้หน่อย แต่ว่ามันไม่ใช่ตัวเรา อย่างแม่ให้ไปนั่งทำบัญชี เล็กบอกเลยว่าเล็กไม่ทำ เพราะเล็กไม่ชอบ มันไม่อิน พอไม่อินมันก็ไม่รัก มันก็คิดไม่ออก แล้วเราก็จะทำของเขาพัง ให้คนอื่นที่เขาชอบทำตรงนั้นทำดีกว่า เพราะฉะนั้นความรักสำคัญกับทุกเรื่องที่ทำค่ะ โดยเฉพาะงานบริการ ต้องใช้ใจค่ะ ถ้าเกิดไม่ชอบอย่าทำนะคะ ขอบอกเลย ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร เพราะมันไม่มีวันหยุด โรงแรมเปิด 365 วัน 24 ชั่วโมง คุณจะเอาเวลาไหนไปหยุด แล้วยิ่งมากคนก็ยิ่งมากเรื่องนะพูดตรงๆ (หัวเราะ) คือคนเราในครอบครัวเดียวกัน 6 คนยังชอบไม่เหมือนกันเลย แล้วคุณจะไปคาดหวังอะไรให้คนทั้งโลกชอบเหมือนกันล่ะ เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำอะไรแล้วนี่เราต้องมีจุดยืน ไม่ใช่ว่าฟังลูกค้าแล้วเพี้ยนไปหมดก็ไม่ใช่ เราต้องมีจุดยืนว่า โอเค อะไรดีที่สุดในเสียงส่วนมากของลูกค้า ตอนนี้ลูกค้าต้องการอะไร ลูกค้าไม่มีเวลา ลูกค้าต้องการความเร็ว แต่เร็วก็ไม่ใช่ว่าฉาบฉวยนะ ก็ต้องมีความละเอียดอยู่ด้วย”
Flashback ย้อนไปในวันที่เริ่มเข้ามาทำงานจนถึงวันนี้
“มันคือช่วงจังหวะชีวิต ตอนนั้นเล็กอายุ 23 ตอนนี้อายุ 38 (หัวเราะ) แต่เล็กไม่คิดว่าตัวเอง 38 นะ คือเหมือนยังอายุ 15 คือยังมี Energy อยู่ (ยิ้ม) ความแตกต่างเหรอ สำหรับในเรื่องภายใน อย่างจิตใจหรืออะไรไม่เปลี่ยน เล็กยังเป็นคนตรง ยังเป็นคนห้าว ยังให้ความจริงใจอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าไลฟ์สไตล์อาจจะเปลี่ยนไป แต่ก่อนงานหลักคือปาร์ตี้ ออกงาน 5 งานต่อวัน เราเจอกันทุกงาน ตอนนี้งานหลักคือความรับผิดชอบต่อ Passion ของเราที่อยากจะสร้างปาร์คนายเลิศ ให้อยู่กับโลกใบนี้ต่อไปค่ะ”
ย้อนไปในวันที่ทุกคนในสังคมเรียกคุณว่า ‘น้องเล็ก ฮิลตัน’
“เมื่อก่อนชีวิตมันส์มาก ใช้ปาร์ตี้เป็นอาชีพ (หัวเราะ) ส่วนตัวเล็กชอบทำอะไรเต็มที่อยู่แล้ว ทำอะไรก็ทำให้มันสุด ไม่อย่างนั้นก็อย่าทำดีกว่า ซึ่งเล็กคิดว่ามันทำให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้นะคะ คือเราลองมาทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะคบเพื่อนแบบไหนอะไรยังไง ซึ่งเราก็รู้แล้วว่าเราต้องการอะไรในชีวิตตอนนี้ปัจจุบันนี้ แต่ถ้าเรามาเจอกันอีก 10 ปีข้างหน้าเดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันใหม่ เพราะชีวิตนี้อย่างที่เล็กบอก เล็กชอบความเปลี่ยนแปลง ชอบความเติบโต ชอบความแปลกใหม่ ทุกวันนี้เล็กเดินมาในบ้านปาร์คนายเลิศ เล็กจะไม่มาดูอะไรจำเจๆนะ เล็กจะคิดเสมอว่าวันนี้เป็นวันแรกของเล็กที่เล็กมาทำงานตรงนี้ เพราะฉะนั้นเล็กจะเห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ ปรับปรุงได้ อันนี้ควรตัด อันนี้ควรเพิ่ม คือเล็กจะมีตาคู่ใหม่ทุกวันที่เล็กเดินเข้ามาที่บ้านหลังนี้”
แรงขับเคลื่อนในชีวิต
“อยากให้รักในสิ่งที่ตัวเองทำ ถ้าเกิดไม่รักก็เปลี่ยนงานเถอะ (หัวเราะ) หมายถึงว่าหลังจากที่ลองพยายามแล้วนะ เราต้องหาตัวเองก่อน ว่าเรารักตรงนี้หรือเปล่า ถ้าเกิดรักจริงก็ทุ่มให้มันเต็มที่ และมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับเล็กที่เป็นขุมพลังเลย คือ การออกกำลังกาย เล็กคิดว่าการที่เรานั่งอยู่ในห้องแอร์อยู่ในออฟฟิศ อยู่บนโต๊ะทำงานทุกวัน มันเหี่ยวนะ ชีวิตมันต้องเหงื่อออกกันบ้าง อยากให้ได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง เล็กว่าการออกกำลังกายมันเสริม มันเพิ่มพลังให้เรา อย่าไปคิดว่าวิ่งสวนลุม 2 รอบแล้วมันจะเสียพลัง ไม่ใช่ มันจะทำให้ 24 ชั่วโมงของเรามันยาว และอีกอย่างที่สำคัญ อย่าคิดมากค่ะ ใช้ชีวิตอย่าคิดมาก เหนื่อยก็หยุด หิวก็กิน เบื่อก็พัก อย่าคิดมาก ชีวิตได้แค่นี้ ก็พอแล้ว” (หัวเราะ)
การสนทนาครั้งนี้ เหมือนเราได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เธอยังเป็นคนแบบเดิม ที่จบบทสนทนากับเราด้วยเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มจริงๆ ที่มาจากข้างใน...
Photo by: Prayuth, Veerapol
Author by: Arunlak
VDO by: Subin, Daruwan.C