คอลัมน์ Celebrity in Focus ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่นอกจากเราจะได้พาคุณๆ ไปบุกช็อป Self – Portrait Bangkok และ EXHIBIT (@exhibitspace) พื้นที่แห่งความสุขของเหล่าแฟชั่นนิสต้า ที่รวบรวมไอเท็มเด็ดจากหลากหลายแบรนด์น่าสนใจทั้งไทยและต่างประเทศ เรายังได้รับเกียรติจาก คุณแอน – รชาดา ไชยโชติ Managing Director Exhibit Co., Ltd. สาวเก่งผู้ทำงานคลุกคลีอยู่ในแวดวงแฟชั่นมากว่า 15 ปี... Hisopartyofficial.com ชวนเปิดผนึกเบื้องลึกแนวคิดในการนำพาและสร้างสรรค์ให้แฟล็กชิพสโตร์แห่งนี้ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ซึ่งจากประสบการณ์ในสายงาน Fashion Marketing และ Brand Management ที่คุณแอนได้สั่งสมมาตั้งแต่สมัยที่เธอเคยทำงานประจำอยู่ที่ Dior และ Club21 รวมกว่า 10 ปี การที่จะขยับขยายออกมาสานต่อความฝัน ก่อร่างธุรกิจของตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ยากเกินความตั้งใจ
“ตอนเริ่มทำ EXHIBIT ในช่วงแรก เรามองแค่ว่าเราจะทำอะไรที่ไม่เกินตัว ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจาก Dior และ Club21 ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แอนจับต้องงานเกี่ยวกับการเลือกสินค้าเป็นหลัก คลุกคลีอยู่ในแวดวงแฟชั่นมาพอสมควร จนเรารู้สึกว่ามันมีอะไรบ้างอย่างที่ Missing ยังมีช่องว่างที่หายไป นั่นก็คือ สินค้าราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อม แต่มีคุณภาพ เป็นแบรนด์ดีไซเนอร์ที่ Quality ดี เหมาะสำหรับ Young Jobber หรือคนที่เพิ่งเริ่มสตาร์ทอัพเหมือนเรา คือมันจะเป็นอีกหนึ่งสเต็ปก่อนที่จะไปถึงลักซ์ชัวรี่ ซึ่งในช่องว่างตอนนั้นเราก็ไม่อยากที่จะมาตีตลาดไทยดีไซเนอร์ที่เขาแข็งแรงอยู่แล้ว เราเลยโฟกัส อยากได้อะไรที่เป็นสิ่งแปลกใหม่ เป็นกลุ่มตรงกลางระหว่างดีไซเนอร์จริงๆ กับไทยดีไซเนอร์ โดยในความเล็กของเรา เราก็เลยเริ่มมองหาดีไซเนอร์หน้าใหม่ แล้วก็มาเจอกับ Self-Portrait ในช่วงที่เขาก็กำลังก่อตั้งหมือนกันพอดี ซึ่งก็อาจจะเป็นโชคด้วยค่ะ แอนก็ติดต่อกับคุณฮาน (Han Chong ดีไซเนอร์และเจ้าของแบรนด์) ทางอีเมลแล้วก็เริ่มทำด้วยกัน”
ความคาดหวังกับ EXHIBIT ในช่วงแรก
“ช่วงแรกคือยอมรับว่ามันเป็นเงินลงทุนของแอนเองเกือบทั้งหมด ฉะนั้นถ้าถามว่ากลัวไหม ก็กลัวค่ะ แต่ในความกลัวเราก็คิดว่า ถ้าไม่ทำตอนนี้ เมื่อไหร่จะได้ทำ คือถ้าไม่ประสบความสำเร็จจริงๆ เรายังมีหนทางในการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ เพราะตอนนั้นเราเพิ่งอายุ 36 ยังมีโอกาสที่จะล้มแล้วลุก ดังนั้นจึงต้องเสี่ยง โดยในความเสี่ยง แอนเสี่ยงแบบไม่เกินตัว สั่งสต็อกเท่าที่ Cash Flow โอเค จากนั้นในความเชื่อมั่นเราก็ค่อยๆ เพิ่มแบรนด์ เพิ่มวอลลุ่มในการสั่ง ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ในการคาดเดาความต้องการของลูกค้าด้วย แล้วอีกอย่างคือแอนโชคดีที่ช่วงปีแรกเรามีดาราซูเปอร์สตาร์เป็นลูกค้าก็เหมือนเป็นการช่วยโปรโมทไปในตัว”
หัวใจสำคัญของการเป็น Buyer
“หนึ่งเลย Passion ต้องมี คือต้องชอบในการแต่งตัวให้ทั้งตัวเองและให้คนอื่น เราจะไม่ทำงานเป็น Auto Machine เลือกสินค้าตามดาต้าหรือข้อมูลที่เรคคอร์ด เพราะถ้าทำแบบนั้นเราจะทำงานแบบเซฟโซน เลือกเฉพาะที่ขายได้ ซึ่งในแง่ของ Buyer เราทำแบบนั้นไม่ได้ ลูกค้าไม่ใช่อดีต เขากำลังเลือกซื้อเพื่ออนาคต ฉะนั้นมันคือการเอารสนิยมของเราไปแมตช์กับของลูกค้า ซึ่งสิ่งที่เราทำมันคือความเสี่ยงที่คาดเดาไม่ได้ว่าลูกค้าจะชอบไหม แบบที่เลือกมาจะถูกใจหรือเปล่า หรือเขาอยากใส่แบบอื่นที่เราไม่ได้เลือก ฯลฯ ดังนั้นความสนุกของ Buyer คือการมองหาอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ เราต้องมี Ahead Something ที่อาจจะไม่ใช่แค่เทรนด์แฟชั่น แต่มันคือการมองว่าลูกค้าอยากได้อะไรในตอนนั้นๆ หรือเปล่า”
“ที่สำคัญอย่างที่บอกในตอนแรกค่ะว่าต้องมี Passion รักกับงานจริงๆ เราถึงจะรู้สึกสนุกกับการทำงานซึ่งมันเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของชีวิต เห็นอะไรก็เกิดไอเดีย มองเป็นงานได้หมด ทำให้เปิดหูเปิดตารับสิ่งใหม่เสมอ ศึกษาความต้องการของลูกค้าตลอด ประกอบกับที่เราเองต้องไม่มีอีโก้ เราต้องมีความเป็นกลาง มองหลายๆ มุม ซึ่งสำหรับงาน Buyer ตั้งแต่ยุคแรกที่แอนทำจนถึงตอนนี้เราก็ยังทำเหมือนเดิม คือต้องศึกษาไปเรื่อยๆ ว่าเรา Missing จุดไหน อย่างปัจจุบันเทรนด์แฟชั่นก็ไม่ใช่ตัวที่จะขับเคลื่อนหรือชี้นำแล้วว่าลูกค้าจะซื้ออะไร สมัยนี้ไม่ได้แต่งตัวตามเทรนด์เหมือนเดิม ลูกค้ามีสไตล์ มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้ความต้องการ ซึ่งเราในฐานะ Buyer ก็ต้องเดาทางให้ถูกว่าสไตล์ของลูกค้าที่ใส่ เรามีสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของเขาไหม รวมถึงยิ่งการทำธุรกิจในยุคดิจิตอลสมัยนี้ โดยเฉพาะการมาของพวกดิจิตอลที่เป็น Buying Platform ลูกค้าสามารถเป็นคนที่เลือกซื้อสินค้าแบบพรีออเดอร์เองได้ หรือมีร้านค้าที่เป็นตัวกลางในการรับสั่งและซื้อสินค้า ก็เหมือนกับการเพิ่มความยาก เพิ่มความท้าทายให้เราไปอีกแบบ ถ้าวันนี้เรายังมี Passion อยู่ มันจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เดินหน้าในการค้นหาสิ่งใหม่ โดยที่เราไม่ลืมรักษาตัวตน รักษาเอกลักษณ์ให้คงอยู่”
ความเป็น EXHIBIT
“แอนมองว่าถ้าเราเอาใจไปผูกกับผู้บริโภคเป็นหลัก เราจะเป็นคอมเมอร์เชียลสโตร์ สินค้าส่วนใหญ่ในร้านก็จะเป็นในรูปแบบที่ตลาดต้องการเหมือนๆ กับที่อื่น เช่น ตอนนี้ฮิตลูกไม้ เราก็จะมีแต่ลูกไม้เต็มร้าน ช่วงไหนตลาดต้องการสตรีท เราก็จะเปลี่ยนตัวเองตาม ซึ่งจุดยืนตรงนี้แอนมองว่าเราต้องบาลานซ์ หัวใจหลักของ EXHIBIT คือการเป็นผู้ริเริ่มในแง่ของการสรรหาอะไรใหม่ๆ เป็น The Next Big Thing ให้กับลูกค้า โดยเราต้องบาลานซ์ให้สินค้าของเราตรงกับความต้องการของตลาด พร้อมๆ กับการนำเสนอสิ่งใหม่ เรายังมีส่วนหนึ่งในร้านที่เปรียบเสมือนแล็บทดลอง เพราะ EXHIBIT มาจากคำว่า Exhibition คล้ายกับการจัดแสดงงาน เป็นพื้นที่แห่งการทดลอง โชว์ผลงานของดีไซเนอร์ใหม่ๆ หมุนเวียนกันไป”
“สำหรับ EXHIBIT ที่ห้างเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่แห่งนี้ แอนตั้งใจทำให้เป็นแฟล็กชิพสโตร์ที่เป็น Best Quality ของเราจริงๆ เราลดสาขาให้เหลือที่นี่ที่เดียว เพราะแอนจะสามารถเข้ามาดูแลเทรนพนักงาน เข้ามาต้อนรับลูกค้าวีไอพีเองได้ สามารถดูแลจัดการทุกอย่างให้ตรงกับที่เราต้องการ นอกจากนี้เรายังนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าได้จริงๆ แอนอยากให้ทุกคนเข้ามาแล้วรู้สึกสนุกกับการแต่งตัว รวมถึงได้รับอะไรที่เป็นสิ่งใหม่กลับไป ซึ่งนอกจากที่มี EXHIBIT เป็นมัลติสโตร์หลักของเราแล้ว แอนก็ยังมี Self-Portrait Bangkok เป็น Luxury Brand ที่เปิดอยู่ข้างๆ กัน รวมถึงในปีที่ผ่านมาแอนก็มีแบรนด์ชื่อว่า BEX เป็นแบรนด์ที่ดึงแยกตัวออกจาก EXHIBIT เพราะเรามองว่าเขามีศักยภาพมากพอที่สามารถแยกตัวออกมามีสาขาของตัวเองได้”
ความพิเศษยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะคะ คุณแอนจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ EXHIBIT (@exhibitspace) และ Self-Portrait Bangkok แบบทุกซอกทุกมุม ติดตามได้ในคลิปวิดีโอด้านบน ที่สำคัญคุณยังสามารถช้อปปิ้งออนไลน์ หรือชมคอลเลกชั่นต่างๆ ได้ที่
www.facebook.com/exhibitspace
www.instagram.com/exhibitspace
www.instagram.com/selfportraitbangkok
www.instagram.com/hello.bex
Author by: Daruwan.C
Photo by: Veerapol
VDO by: Subin