counters
hisoparty

Welcome to Our World คุณอิสรีย์ สุวรรณวิทย์ – คุณเชน เฮฟเฟอร์แนน

3 years ago

บนความสูงชั้นที่ 30 ของตึกหรูใจกลางกรุง เป็นที่ตั้งของสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของความรักของครอบครัวหนึ่งที่ HiSoParty ได้รับเกียรติให้ไปเยี่ยมเยือน

         ซึ่งภายในห้องสวีทสุดหรูแห่งนี้ ถูกเติมเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันสวยงามตัดสลับกับของตกแต่งอันทรงคุณค่าที่หลากหลายที่มา ทั้งยังมีของสะสมที่ผลิตขึ้นมาเพียงไม่กี่ชิ้นในโลก รวมไปถึงบนฝาผนังยังถูกประดับด้วยงานศิลปะชั้นสูงของศิลปินชื่อก้อง แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับที่แห่งนี้พรั่งพร้อมไปด้วยความรัก ความผูกพันของครอบครัวที่น่ารักครอบครัวนี้
          ‘คุณซันนี่ - อิสรีย์ สุวรรณวิทย์ พร้อมด้วย คุณเชน เฮฟเฟอร์แนน ผู้เป็นสามี และสมาชิกตัวน้อยคนสำคัญ น้องเอ็มมิลี่ ชีวัน เฮฟเฟอร์แนน’ และนี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ทำความรู้จักกับครอบครัวอันแสนอบอุ่นครอบครัวนี้ให้มากขึ้น 

 

Our Work

คุณเชน: “ผมเป็นนกเศรษฐศาสตร์ ซึ่งทั้งชีวิตนี้ไม่เคยทำงานอย่างอื่นเลยนอกจากงานทางด้านนี้ เราให้คำปรึกษาทั้งระดับบุคคล และระดับองค์กร ลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะอยู่ทั่วโลก เราแนะนำพวกเขาทั้งทางด้านโครงสร้างองค์กรการสร้างธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ และการเมืองในประเทศที่ลูกค้าอยู่ และตอนนี้เราก็มีผลิตภัณฑ์ FinTech (Financial Technology) ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain ซึ่งเราได้ค้นคว้ามาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว สิ้นปีนี้ก็จะเปิดตัว ซึ่งเป็นโปรเจคต์ที่เราตื่นเต้นกับมันมาก มีคนเก่งๆจากทั่วโลกช่วยกันทำโปรเจคต์นี้ขึ้นมา สำหรับตอนนี้เวลาส่วนมากก็จะใช้ไปกับโปรเจคต์นี้และอีกอย่างหนึ่งคือการเพาะพันธุ์ม้าแข่งที่ฟาร์มที่ออสเตรเลีย ผมจะแบ่งเวลาการทำงานคร่าวๆ คือ ตอนเช้าจะมาดูแลเรื่องม้าโดยออนไลน์กับทางออสเตรเลีย และตอนบ่ายจะกลับไปนอน และกลางคืนก็จะมาทำงานหลักครับเพื่อให้เวลาตรงกับประเทศที่เราต้องทำงานด้วย”
คุณซันนี่: “ในด้านการทำงานส่วนตัวของซันนี่เองเริ่มจากการทำงานเกี่ยวกับไอทีมาก่อน แต่ในส่วนการให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการเงินสำหรับคุณเชนทำมานานแล้ว ส่วนซันนี่เองเพิ่งมาเริ่มเรียนรู้งานได้ประมาณ 15 ปี เมื่อก่อนอาจจะแอคทีฟมากกว่านี้ เนื่องด้วยตอนนี้มีลูกสาวเล็กทำให้ได้เข้าไปช่วยน้อยลง แต่ในด้านการบริหารซันนี่ยังคงทำอยู่ เพราะว่าเรามีพนักงานทั่วโลก เรา Manage จากประเทศไทย เพราะเป็นงานที่ทำจากที่ไหนก็ได้ เป็นลักษณะ Work From Home ซึ่งตรงกับสถานการณ์ตอนนี้ แม้ช่วงเวลาอาจจะไม่ดีเท่าไรเพราะทางฝั่งอเมริกากว่าจะเข้างานเป็นตอนเย็นของบ้านเรา ทำให้เลิกงานดึกอาจจะตีสองตีสามของประเทศไทย แต่การที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของครอบครัวทำให้เรามีเวลาใกล้ชิดกับพวกเขามากขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดดีที่ทำให้เราใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีการทำงานผ่านทางออนไลน์ ผ่านทาง Zoom และอีกเรื่องหนึ่งต้องขอบคุณสามีมากเลยค่ะ ที่มีแพชชั่นเกี่ยวกับม้า ทำให้ซันนี่ได้มีโอกาสเรียนรู้ ธุรกิจใหม่ ซึ่งก็คือธุรกิจเพาะพันธ์ุม้า เลี้ยงม้าแข่ง ขายม้าแข่ง ซึ่งฟาร์มที่เราเลี้ยงอยู่ที่ออสเตรเลีย งานนี้เองทำให้ซันนี่ได้มีความรู้เรื่องเพดดีกรี นอกจากนี้ยังทำให้ซันนี่ได้มีโอกาสได้มีชื่อไปเป็นเจ้าของม้าแข่งที่ Royal Ascot เป็นโอกาสที่เราไม่ได้คิดฝันมาก่อนว่าเราจะมีโอกาสตรงนี้ แต่เนื่องจากเป็นความชอบของสามี และเขาได้สนับสนุนเราทำให้เราได้รับสิ่งดีๆ ตรงนี้ค่ะ”

คุณเชน: “สำหรับเรื่องลูกผมเชื่อว่าเรามีลูกเพื่อที่เราจะได้สปอยล์ลูก(ยิ้ม) ลูกของผมผมสปอยล์หมดทุกคน ในขณะเดียวกันเราก็พยายามสอนให้เขาเป็นคนดี เพราะจริงๆ แล้วชีวิตเรามีอย่างเดียวที่สำคัญ
ที่จะทิ้งไว้ข้างหลัง คือลูกของเราไม่ใช่เงินหรือธุรกิจ ล็อคดาวน์โควิดก็ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากทำงาน และพยายามเอนเตอร์เทนเอ็มมิลี่ ลูกอีกสองคนก็ติดอยู่ที่อังกฤษไม่ได้เจอกัน 18 เดือนแล้วเพราะโควิด”
คุณซันนี่: “คุณเชนจะตามใจลูก แต่ซันนี่จะมีดุลูก และให้เขาไปทำในสิ่งที่เขาไม่ได้อยากทำเช่น ให้ไปเรียน หรือว่าให้ไปฝึกอะไรกับครู หรือว่าให้ไปขี่ม้า ซึ่งเขาจะมีดื้อบ้าง มีไม่อยากทำบ้าง แต่ว่าซันนี่จะไม่ยอมให้ลูกออกนอกตาราง ถึงแม้ว่าเขาจะสองขวบสามขวบ แต่ว่าเขาจะต้องทำตามตาราง คือแม่ไม่ได้อยากให้ลูกไปเรียนกับครูเพื่อให้ลูกเก่งเอบีซีขึ้นมานะ แต่แม่อยากให้ลูกไปเรียนกับครู เพื่อให้ลูกรู้ว่าเรียนอย่างไร ไปโชว์อัพ นั่งจนจบ จบแล้วกลับบ้านได้ ซันนี่มองว่านี่คือสิ่งสำคัญ คือถ้าคุณเริ่มแล้ว คุณต้องทำให้จบ ทำให้เสร็จ ซันนี่จะฝึกให้ลูกรู้จนถึงตอนทำงานเลย จะสอนให้เขามีความรับผิดชอบ”

Our Passion

คุณเชน: “เราชอบสะสมชิ้นงานศิลปะ เรามีชิ้นงานหลายชิ้นของ Susan Leyland ซึ่งส่วนมากงานของเขาจะเป็นงานเกี่ยวกับม้า Susan เขาเป็นคนสร้างรูปปั้นอนุสาวรีย์ม้าศึกที่สนามแข่งม้า Royal Ascot ประเทศอังกฤษ ในโซนเอเซียที่เราสามารถเห็นงานของเขาได้ คือที่ Sun World Park ประเทศเวียดนาม สำหรับเรามีชิ้นงานของเขาหลายชิ้น และมีบางชิ้นที่กำลังสั่งทำอยู่ ผมคิดว่าศิลปะมีความสำคัญมาก
มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เราคิดว่าสวยงาม ทุกครั้งที่เราได้ของสวยๆ งามๆ มา เราก็จะมีชีวิตชีวามากขึ้น

            “งานศิลปะของผมทุกชิ้นมีความหมายมาก อย่างเช่นงานของ Rambrandt ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในฐานะที่เราเป็นชาวคาทอลิกภาพที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนในชิ้นนี้มีอิทธิพลกับเรามาก รวมถึงงานของ Salvador Dali ซึ่งเป็นภาพพระเยซูถูกตรึงกางเขนเช่นกันถึงแม้อยู่ในรูปแบบที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ก็ยังคงเป็นงานที่มีอิทธิพลมาก หรือแม้แต่ไม้แกะสลักที่เป็นรูปพระเยซูจากโบสถ์ที่โดนไฟไหม้ที่ ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ซึ่งโบสถ์นั้นไฟไหม้แทบทั้งหมดเลยแต่ชิ้นนี้ยังคงมีสภาพดีไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย งานนี้มีอายุ 500 ปี บอกไม่ได้ว่ารักชิ้นไหนมากที่สุดเพราะแต่ละชิ้นมีความหมายกับผมต่างกันไปแต่ละชิ้นมีเรื่องราวให้นึกถึงวันที่ประสบความสำเร็จหรือวันที่ล้มเหลวมันคือสิ่งที่เป็นแรงผลักดันก็เลยทำให้บอกไม่ถูกเลยว่าชอบอันไหนมากที่สุด แต่ถ้าให้นึกก็อาจจะชอบอะไรที่เป็นเกี่ยวกับม้ามากที่สุดเหมือนที่ Winston Churchill บอกไว้ว่า “มีบางอย่างเกี่ยวกับม้าที่มันดีสำหรับใจคน” ซึ่งผมเห็นด้วยเพราะฉะนั้นการที่ผมมีศิลปะเกี่ยวกับม้าหลายชิ้นโดยเฉพาะในออฟฟิศเป็นเรื่องที่ดี เหมือนอย่างที่คนจีนก็เชื่อว่าการมีม้าอยู่ทำให้การงานเจริญรุ่งเรือง ศิลปะที่เกี่ยวกับม้ามีความหมายกับผู้คนในทุกๆ วัฒนธรรม อีกชิ้นหนึ่งคืองานปั้นรูปม้า Ribot โดย Susan Leyland ซึ่ง Ribot เป็นม้าที่ถูกเพาะพันธุ์ และฝึกโดย Federico Tesio ซึ่ง Fegerico เป็นคนที่สำคัญมากในวงการม้าแข่งจนถึงทุกวันนี้ เขาเป็นคนแรกๆ ที่เริ่มเขียนหนังสือเพดดีกรีของม้า และ Ribot ก็เป็นผลงานชิ้นเอกของเขา Susan อาศัยอยู่ที่อิตาลีเธอจึงทำชิ้นนี้เพราะ Ribot เป็นม้าที่ดังที่สุดของอิตาลี เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานชิ้นนี้ไม่ว่าจะเป็นตัวของ Ribot หรือ Federico มีความสำคัญกับผมเพราะผมก็พยายามสร้างผลงานชิ้นเอกของตัวเองเหมือนกัน

“ในส่วนชิ้นงาน Picasso เป็นหนึ่งในงานออริจินัลซึ่ง Picasso วาดรูป Edgar Degas ผู้ซึ่งถือครองพรหมจรรย์ยืนอยู่ในแหล่งค้าประเวณีเป็นงานที่สื่อความหมายถึงการต่อสู้กับจิตวิญญานตัวเองเป็นรูปที่แสดงให้เห็นว่า Edgar ต้องสู้กับใจตัวเองและช่วงเวลานั้นของปารีสก็เต็มไปด้วยสิ่งยั่วใจต่างๆ ช่วงที่กำลังจะเข้าศตวรรษใหของปารีส ที่นั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยสิ่งเร้าต่างๆ เหล่านี้ ดังนั้นงานชิ้นนี้เป็นงานที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่น่าสนใจและสนุกของ Picasso ที่มีต่อปารีส ณ เวลานั้น มันพูดถึงสิ่งที่ต่างกัน ไม่ได้ว่าอะไรดีกว่ากัน”

            “นอกเหนือจากความชอบในงานศิลปะ ผมยังมีความหลงใหลในด้านแฟชั่นการแต่งตัวด้วย ส่วนตัวผมชอบเสื้อผ้าแบรนด์ Dolce & Gabbana มาก รวมทั้ง Louis Vuitton และตอนนี้เริ่มมาสนใจ Fendi มากขึ้น เสื้อผ้าของผมส่วนมากจะเป็น Dolce & Gabbana - Sartoria มีบ้างที่จะเป็น Dolce & Gabbana - Alta Sartoria ซึ่งเป็นแผนกที่สั่งตัดของ Dolce& Gabbana ผมว่ามันเป็นที่ที่สวยมากๆ ในมิลาน และคนที่นั้นก็เหลือเชื่อมาก ผมได้มีโอกาสไปร่วมในกระบวนการทำเสื้อผ้ากับพวกเขา เขาใช้ความตั้งใจเป็นอย่างมากในการที่จะทำเสื้อผ้าออกมาสัก 1 ชิ้น เราทั้งสองคนจะสนุกเวลาที่ได้ไปมิลาน เวลาได้ไปสั่งเสื้อผ้า ไปแฟชั่นโชว์ ไปปาร์ตี้ที่ยุโรป สำหรับผมในความเป็นจริงการไปช้อปปิ้งสิ่งของหรือเสื้อผ้าที่ซื้อมามันเป็นเหมือนของที่ระลึกมากกว่า สิ่งที่เราได้รับจริงๆ คือประสบการณ์

           “และมีเครื่องประดับอีกอย่างที่ผมชอบมาก คือเข็มกลัดผึ้ง จากบิวตี้เจมส์ ซึ่งเวลาผมหยิบมาแต่งตัว เป็นสิ่งหนึ่งที่คอยเตือนว่าให้เรา Be (e) Good, Be (e) Kind and Be (e) Nice ซึ่งเป็นคำกล่าวของคุณหนึ่ง สุริยน ศรีอรทัยกุล เกี่ยวกับเข็มกลัดผึ้งชิ้นนี้ครับ”

คุณซันนี่: “จริงๆ แล้วแฟชั่นแต่ละแบรนด์สำหรับซันนี่มีความหมายไม่เหมือนกัน ชาแนลสำหรับซันนี่ ซันนี่ใช้สำหรับไปทำงาน ซันนี่รู้สึกว่าใช้ชาแนลคือสแตนดาร์ดในการไปทำงาน รู้สึกว่าฉันคือ Working Woman ซันนี่ชอบชาแนลในลักษณะนั้น ส่วน Dolce & Gabbana ซันนี่จะชอบเสื้อผ้า เพราะรู้สึกว่าเขามีความเฟมินีนมากเลย เวลาซันนี่ไปที่มิลาน หรือที่ฝรั่งเศส เพื่อที่จะไปฟิตติ้งกับที่ Dolce & Gabbana คือถ้าเราอ้วนขึ้น เราจะไม่มั่นใจ แต่ว่าทาง Dolce & Gabbana เขาจะ Celebrate Body ของผู้หญิง เขาจะบอกเลยว่าไม่ว่าคุณหุ่นเป็นอย่างไรน้ำหนักเท่าไร Dolce & Gabbana มีเสื้อผ้าสำหรับทุกคน ถึงแม้เราจะอ้วนแค่ไหน เขาก็จะมีเสื้อผ้าที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งได้ นี่จึงทำให้ซันนี่ค่อนข้างที่จะชอบเสื้อผ้าของเขา และก็เลยมาที่ลูกสาว ลูกสาวเขาจะเรียกว่าเป็น DG Bambino คือเป็นเบบี้ Dolce & Gabbana นะ เขาจะชอบแต่งตัวแบบเดียวกันกับแม่ และส่วนกระเป๋า ซันนี่จะเป็นบิ๊กแฟนของ Louis Vuitton แต่ซันนี่อาจจะไม่ได้มีจำนวนเยอะมากเพราะเลือกของค่อนข้างจะยาก แต่ชิ้นที่มีคือ มันมีความหมาย และเป็นความชอบ มันคือตัวเราจริงๆ ถ้าเราไม่เจอของที่เป็นตัวเราจริงๆ ซันนี่จะไม่ซื้อ ซันนี่จะไม่ซื้อของที่คนอื่นบอกว่าต้องมี แต่ซันนี่จะซื้อของที่ตัวเองชอบ และคนอื่นไม่มี ส่วนใหญ่จะเป็นชิ้นเดียวในเมืองไทย ถือไปคนอาจจะไม่รู้ว่าแบรนด์นี้หรอ แต่ว่าซันนี่รู้ แล้วซันนี่ชอบ มันก็พอแล้ว”

“เอ็มมิลี่เป็น Young Rider เป็นนักขี่ม้าที่อายุน้อย ก็จะขี่ม้าที่เป็นโพนี่ไปก่อน ในการไปขี่ม้าสำหรับเด็กคนอื่น คือไปปุ๊บขี่แล้วจบ แต่สำหรับเอ็มมิลี่ ก่อนที่จะขี่เขาจะต้องไปแต่งตัวให้ม้า ม้าของเขาจะต้องแต่งตัว เช่นใส่อุปกรณ์ต่างๆ ปกติแล้วคุณครูหรือเซอร์วิสเขาจะทำให้ แต่ว่าน้องเอ็มมิลี่แม่ให้ไปช่วยคุณครูทำ เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าก่อนที่ม้าจะพร้อมมาให้เขาขี่ ม้าจะต้องได้รับการแต่งตัว ต้องได้รับการดูแลอย่างดี และระหว่างที่
เขาขี่ ตัวเขาเองจะต้องแต่งตัวครบ เขาจะต้องใส่รองเท้า และอุปกรณ์ต่างๆ ครบแม้ว่าเขาจะไม่สบายตัว แม้ว่าจะร้อน แต่ทุกครั้งเขาต้องแต่งตัวให้ครบเพื่อเขาเซฟตี้ แม่จะฝึกให้เขาตั้งแต่ตอนนี้เลย และเมื่อเขาขี่เสร็จปุ๊บเขาจะกลับบ้านเลยไม่ได้ เขาจะต้องไปให้อาหารเป็นรางวัลให้กับม้า ซึ่งตรงนี้ใครๆ ก็ทำ แต่สำหรับเอ็มมิลี่ ต้องไปอาบน้ำให้ม้า เขาจะต้องไปอาบน้ำ เพราะการอาบน้ำจะเป็นการที่ทำให้ม้ารู้รีแลกซ์ เขาจะได้รู้ว่าเขาจะดูแลเทคแคร์ ม้าอย่างไร เขาจะไม่เคยพลาดเลยในการที่เขาจะอาบน้ำให้ม้าทุกครั้งที่เขาขี่ม้าเสร็จ เมื่อเขาอาบน้ำเสร็จ เขาก็จะไปอาบน้ำให้กับตัวเอง แล้วเตรียมตัวกลับบ้านได้ เหตุผลที่เลือกกีฬานี้ให้เขา เพราะว่าครอบครัวเรามีฟาร์มม้า และทำธุรกิจเกี่ยวกับม้า และอีกอย่างในอนาคต เราจะต้องมีการไปบริหารและเราอยากจะให้ลูกได้ทำธุรกิจของเรา เราจึงอยากให้เขามีความเข้าใจการดูแลม้า เข้าใจจิตใจของม้า ไปถึงปุ๊บให้เขามีเบสิค การดูแลม้า และสามารถไปบริหารฟาร์มได้ อาจจะไม่ได้รู้เยอะ ถึงขั้นเป็นหมอ แต่อยากให้เขารู้และเข้าใจจิตใจม้า
ว่าต้องดูแลเขาอย่างไร”

Our Happiness

คุณเชน: “การได้ใช้เวลากับคนในครอบครัวครับ”
คุณซันนี่: “ความสุขที่สุดที่ซันนี่มีตอนนี้คือ ครอบครัวเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะมีครอบครัวที่มีความสุขได้ขนาดนี้ คือเมื่อก่อน ซันนี่เป็นคนเดินทางทั่วโลก และเราก็เป็นเพียงผู้หญิงไทย ที่ไม่ได้มาจากเมืองใหญ่อะไร แต่เวลาที่ไป เรามีความตื่นเต้น สนุกตลอดเวลา เพราะเราได้มีโอกาสที่ได้ไปทำอะไรที่อินเตอร์ไปที่ไหนก็มีอะไรให้ทำสนุกตลอดเวลา ตอนนั้นคิดว่าคือความสุขที่สุดในชีวิตแล้ว ซึ่งนั่นมันคืออายุก่อน 35 มาตอนนี้พอมีครอบครัวชีวิตเปลี่ยนไปนะ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นทุกข์ หรือเศร้าใจที่อะไรเปลี่ยนไป เพราะทุกเวลา ทุกนาทีที่อยู่กับลูก ได้เห็นพัฒนาการ ได้เลี้ยงเอง ได้เห็นเขาเป็นคนแบบที่เราอยากให้เป็น ทำให้เรามีความสุขมาก”

AUTHOR BY ARUNLAK
PHOTO BY PRAYUTH, VEERAPHOL
VDO BY SIRAWIT

SHARE