ตำนานเชฟอายุน้อยที่สุดของการแข่งขันทำอาหารรายการ Hell’s Kitchen Thailand Season 1 และ รายการ Master Chef The Professional Thailand เวทีที่ทำให้เธอได้รู้แพสชันของตัวเอง จากนั้นเธอจึงมุ่งมั่นเดินหน้าจนคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 ในการศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านอาหารของประเทศฝรั่งเศส กลับมาพร้อมพลังของเชฟรุ่นใหม่ที่ต้องการผลักดันวัตถุดิบไทยให้ก้าวไกลระดับโลก และอยากให้คนจดจำเธอในฐานะ ‘เชฟอารมณ์ดีที่ทำอาหารอร่อย’
ชีวิตวัยเด็ก
ตอนนี้เป็นเชฟอิสระและเป็นที่ปรึกษาด้านอาหารค่ะ ที่ผ่านมาเป็นผู้เข้าแข่งขันรายการอาหารต่างๆ ในประเทศไทย ปีที่แล้วเข้ารอบ semi final ในรายการ Hell’s Kitchen Thailand Season 1 ล่าสุดเข้ารอบ Masterchef The Professionals Thailand รอบ 8 คนสุดท้ายค่ะ ตอนประถมจรรย์เรียนที่ Shrewsbury international school ส่วนมัธยมเรียนที่ International School Bangkok (ISB) จนจบก็ตั้งใจไปเรียนต่อปริญญาตรีทางด้านอาหารโดยเฉพาะ สาขา Culinary Arts and Management มหาวิทยาลัย Institut Lyfe (Institut Paul Bocuse) ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส และทำงานอยู่ที่ปารีสอีก 1 ปี ค่ะ
จรรย์เริ่มเข้ามาในวงการอาหารตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ตอนนั้นแข่ง Junior Master Chef ทางช่อง 3 เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นพบ Passion จรรย์มีโอกาสได้ทำรายการ ‘หม้อข้าวหม้อแกง’ ทางทีวีช่อง Thai PBS และทำรายการ ‘Tiny Recipe’ รายการทำอาหารสำหรับเด็กทางช่อง Boomerang นอกจากนี้ยังได้แข่งทำอาหารรายการย่อยของสถานทูตนิวซีแลนด์ จนได้แชมป์ตอนอายุ 15 ปี หลังจากนั้นพออายุ 17 ปี จรรย์ก็ไปแข่งรายการ Thailand Duck Challenge ของ BR Group เป็นการแข่งแบบมืออาชีพวันเดียวจบ แล้วก็ลงแข่งขันรายการต่างๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุ 18 ปี รู้สึกว่าเราต้องเดินทางสายนี้ เพราะเราเริ่มทำมาตั้งแต่เด็ก มันก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับเรา และทำให้เรามี Passion จรรย์เลยเลือกเรียนต่อทางด้านอาหารที่ประเทศฝรั่งเศสค่
โดยปกติบ้านเราชอบทำอาหารกันอยู่แล้วค่ะ เป็นกิจกรรมวันหยุดที่ทำร่วมกับคุณแม่มาตลอด เลยจุดประกายให้เราเริ่มทำอาหารมาตั้งแต่ตอนนั้น บวกกับความเป็นเด็กที่ Energy ล้นเหลือ พูดเก่ง และมีโอกาสได้ลงแข่งขันทำอาหาร ทำรายการเกี่ยวกับอาหารมาตลอด มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเติบโต และมี Mindset ที่สามารถนำไปต่อสู้กับคนอื่นได้ ถึงแม้ตอนเด็กๆ จะไม่ได้เล่นสนุกกับเพื่อนมากเท่าไหร่ เพราะต้องรับผิดชอบตัวเอง แต่มันก็ทำให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่งค่ะ
แรงบันดาลใจ
อาหารเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ และมันเป็นอาชีพที่จับต้องได้จริงๆ เราสนุกกับการได้คิดเมนูใหม่ๆ บวกกับเป็นคนชอบลงมือทำ ชอบงานที่มัน Hands on เลยรู้สึกว่านี่คือทางของเรา ซึ่งเราอยากจะค้นพบรสชาติใหม่ๆ เลยต้องพยายามทานอาหารรสชาติที่แปลกใหม่ หรือพยายามไปค้นหาวัตถุดิบในท้องถิ่นต่างๆ ที่จะทำให้เมนูเราแปลกใหม่ขึ้น เราอยากเป็นตัวแทนคนไทยที่นำวัตถุดิบไทยไปให้ไกลได้มากกว่าเดิม พยายามยกระดับด้วยการนำมาผสมผสานเทคนิคฝรั่งเศสค่ะ
ในวัย 24 ปี อะไรคือสิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุด
สำหรับวัย 24 จรรย์โฟกัสกับเรื่องงานและสายอาชีพว่าจะเดินทางยังไงต่อไป เพื่อให้เรามุ่งไปข้างหน้าในฐานะเชฟ เพราะเรายังมีแรงมีกำลังสามารถออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากที่อื่นได้ ก็ต้องพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุด ยังสามารถเสี่ยงกับอะไรได้อีกมาก และมี Energy ที่จะต่อสู้ค่ะ
และตอนนี้กำลังเริ่มกลับมาทำงานประจำอีกครั้ง เพราะอยากเรียนรู้จากครัวระดับมืออาชีพ ที่อาจจะทำให้เราเดินไปได้ไกลขึ้น หรือสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้มากขึ้น ด้วยการร่วมงานกับ Chef Anne Sophie Pic เชฟหญิงที่ได้มิชลินมากที่สุดในโลก เขามาเปิดห้องอาหารใหม่สาขาแรกของเซาท์อีสเอเชีย ภายในโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ซึ่งจรรย์เคยฝึกงานที่ร้านของ Chef Anne ที่ปารีส เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการ Opening สาขาแรกในประเทศไทย เพราะมันเป็นครั้งเดียวในชีวิต เป็นที่ที่ Prestige มาก และครอบครัวก็ Support มากค่ะ
ความภูมิใจในตัวเอง
ตอนเรียนจบจากฝรั่งเศสจรรย์ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 และเป็นคนเอเชียคนเดียวที่ได้รับเกียรตินิยมที่ฝรั่งเศส จรรย์นั่งรอประกาศผลแบบไม่รู้มาก่อน ไม่รู้ล่วงหน้า บนเวทีไม่มีคนไทย ไม่มีคนเอเชียเลย ทำให้จรรย์รู้สึกภูมิใจว่าที่ผ่านมา ที่เราเคยเหนื่อย เคยท้อ แต่พอได้รับเกียรตินิยมอันดับ 1 เป็นเหมือนรางวัลและกำลังใจให้ตัวเอง รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมาไม่ได้สูญเปล่า
ส่วนในชีวิตจริงจรรย์ภูมิใจกับการที่ได้แข่งขันรายการ Hell’s Kitchen Thailand Season 1 และ รายการ Masterchef The Professionals Thailand ซึ่งจรรย์เป็นผู้เข้าแข่งขันที่อายุน้อยที่สุดทั้ง 2 เวที เป็นความภูมิใจที่เราสามารถออกจาก Comfort Zone กล้าออกไปยืนอยู่ในจุดที่มีความเสี่ยง เราไม่รู้ว่าผลการแข่งขันจะออกมายังไง เพราะเวลาแข่งไม่มีสคริปต์ ไม่รู้ล่วงหน้า ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์บนขอบเขตของเวลาที่จำกัด เราอาจจะทำไม่ได้ดีทุกครั้ง เพราะมันคือเกมส์โชว์ มันคือประสบการณ์ชีวิต ที่เราสามารถพาตัวเองไปอยู่จุดนั้น และรู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรายการที่ได้ฉายบน Netflix ด้วยค่ะ
จุดแข็งของตัวเอง
เป็นคนอารมณ์ดี ปรับตัวเข้ากับคนได้ง่าย ความไม่ย่อท้อ และการลงมือทำ คิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรายังอยู่ได้ในวงการอาหาร รวมทั้งความกล้าแสดงออก ในรายการเรามีคาแรคเตอร์เป็นคนกล้าพูด กล้าทำ และเป็นตัวเอง จนมีวลีเด็ดที่กลายเป็นตำนาน ‘มันเหมือนอุนจิหรอคะ’ ตอนนั้นได้โจทย์ทำขนมหวาน เปิดกล่องวัตถุดิบได้กล้วยหอม กับ พริกไทยดำ พอทำออกมาหน้าตาเลยแปลกๆ พอเชฟถามเราเลยพูดประโยคนั้นไป ขนาดเชฟป้อมยังหลุดขำเลยค่ะ (ยิ้ม)
มุมมองต่อคนรุ่นใหม่ที่มีพลัง
คนรุ่นใหม่ที่มีพลังต้องรู้ลึก รู้จริง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปพร้อมๆ กับการลงมือทำด้วยตัวเอง เพราะทุกอย่างในปัจจุบัน ทั้งรวดเร็วและง่ายดาย สำหรับเรางานทุกอย่างที่ผ่านมา เราลงมือทำมันเองจริงๆ เราอดทน ยอมที่จะเสียสละ เพื่อจะได้เป็นคนที่เก่งขึ้น
อยากให้คนจดจำว่าเป็นคนแบบไหน
อยากให้คนจดจำว่าเราเป็นเชฟอารมณ์ดีที่ทำอาหารอร่อยค่ะ คำว่าเชฟมันยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่ว่าเราทำอาหารแล้วจะเป็นเชฟได้ ในครัวใหญ่ต้องมีเชฟแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเชฟได้ ชั่วโมงบินสำคัญมากสำหรับการเป็นเชฟ เพราะคนเป็นเชฟต้องมีความเป็นผู้นำ ต้องคุมทีมให้ได้ ต้องบริหารจัดการทุกอย่างในครัว ต้องอดทน เป้าหมายสูงสุดของเราเลยอยากเป็นเชฟอารมณ์ดีที่ทำอาหารอร่อย เป็นเชฟที่น่ารัก ทำอาหารน่าอีทค่ะ ซึ่งเป็นป็นสโลแกนของร้าน ‘สนิทวงศ์’ ร้านที่ทำร่วมกับรุ่นพี่ที่แข่งขันรายการ Hell’s Kitchen ด้วยกันค่ะ
บุคคลต้นแบบ
Chef Anne Sophie Pic ค่ะ เขาเป็นเชฟผู้หญิงที่ได้รับดาวมิชลินมากที่สุดในโลก เขามีสไตล์การทำอาหารที่โดดเด่น และสามารถขยายร้านอาหารของตัวเองไปในหลายๆ ประเทศ ซึ่งตอนนี้ลูกจรรย์ก็กำลังทำงานอยู่ที่ร้านอาหารของ Chef Anne เป็นร้านอาหารล่าสุดของเชฟที่เพิ่งเปิดในประเทศไทยค่ะ
HiSoParty สำหรับคุณคือ
Hi So ย่อมาจาก High Society ทำให้หลายคนอาจจะนึกไปถึงแต่ชนชั้นสูง ผู้ดี คนร่ำคนรวย เท่านั้น แต่ในความคิดของลูกจรรย์ Hi So ยังหมายถึง ผู้คนที่มีความรู้ความสามารถ จนเป็นที่ยอมรับของสังคม และเป็นผู้นำในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม และ การปกครอง ค่ะ