จากจุดเริ่มต้นการทำงานด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ที่วอร์เนอร์ มิวสิค, เมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์ และยังมีแบล็คกราวนด์เป็นนักกฎหมาย จนกระทั่งมาเริ่มต้นการทำงานที่ ดิอาจิโอ เมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันของ คุณพอล สิริสันต์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภท วอดก้า รัม จิน และ เบย์ลี่ส์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้นำประสบการณ์การทำงานจากการที่มีโอกาสได้เห็นไนท์ไลฟ์ที่ไม่ใช่มีอยู่แบบเดียวมาใช้ในการทำงานปัจจุบันจนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ถึงแม้จะไม่ได้จบการศึกษาทางด้านการตลาดหรือเคยทำงานทางด้านนี้มาก่อนแต่ด้วยแพชชั่นและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในตัวของหนุ่มหล่อนักบริหารท่านนี้จึงไม่มีคำว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถึงแม้จะยากเพียงใดก็ตาม
“ผมว่าเรื่องของการตลาดช่วยให้เราเข้าใจสังคมมากขึ้น และทำให้เรามีส่วนร่วมในการทำให้ภาพต่างๆ มันอาจจะดีขึ้นได้ ถ้าผมอยู่บริษัทอื่น ผมอาจจะไม่ภูมิใจเท่าดิอาจิโอ เพราะจริงๆ กฎของดิอาจิโอมันเหนือกว่ากฎหมายอีกครับ ทำให้ทำงานยากนะครับ แต่อย่างน้อยเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำ คือผมกลับไปบอกพ่อแม่ว่า ผมอยู่ดิอาจิโอแล้วผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นบาป เพราะว่าเรามีกฎที่เข้มงวดมาก คนนอกอาจจะบอกว่าบริษัทเหล้าบางบริษัทไม่มีความรับผิดชอบในเรื่องของการโฆษณา ในการเปลี่ยนตรงนั้นผมรู้ว่าผมเปลี่ยนได้ เพราะผมอยู่ในโพสิชั่นนี้ ในบริษัทแอลกอฮอลล์ที่ผมสามารถเปลี่ยนมันได้”
ด้วยคาแรกเตอร์ของความเป็นคุณพอล และสเมอร์นอฟ มีความเหมือนกันจากการที่ทำงานด้วยกันมาอย่างยาวนานจนเสมือนว่าเป็น Signature ของกันและกัน จึงทำให้ทุกอิมเมจของโฆษณาที่ออกมามีความเป็นตัวของตัวเองที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างหากพูดถึงในเรื่องอิมเมจของผู้หญิงต่างๆ ก็จะพรีเซนต์อะไรที่มีความเป็นจริง
จากการที่ได้มีโอกาสไปทำการตลาดอยู่ที่ต่างประเทศ จึงมีมุมมองทางด้านการตลาดที่แตกต่าง ซึ่งมีความยากในการปรับเปลี่ยนมุมมองการตลาดในประเทศไทย แต่ถึงแม้จะมองว่าเป็นเรื่องที่ยากมากเพียงใด หนุ่มนักบริหารท่านนี้ก็มีวิธีการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายได้
“เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะผมว่าการที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของคนที่ วันนี้ขับรถอยู่พวงมาลัยทางขวามือจะไปเปลี่ยนให้เขาไปเป็นพวงมาลัยซ้ายมันยากมาก เหมือนวันนี้คนดื่มเบียร์ ดื่มวิสกี้เป็นหลัก แต่งานผมคือทำให้ RTD (Ready To Drink) กับ วอดก้าเกิด ผมถึงเลือกที่จะทำให้แบรนด์มีความสัมพันธ์กับคน และทำโปรดักต์ให้เขาลองได้ง่าย แล้วก็ไปหา Passion Point ทำให้แบรนด์เคลียร์แล้วว่า Passion Point ของเราคือมิวสิก เราจึงเล่นเรื่องมิวสิก เราจะคอนเน็กต์กับเขาทางนั้น แล้วโปรดักต์ของเราจะเอื้อมถึงได้ แต่ถ้าเป็นแบรนด์อื่นๆ ก็อาจจะเป็นขอให้โลโก้ใหญ่ ดันโปรโมชั่นให้คนซื้อถูก เพราะว่าถ้าเขาดื่ม Categories คุณอยู่แล้ว คุณแค่ให้โปรโมชั่นเขาก็อาจเลือกดื่มของคุณ แต่ว่าของเราต้องคลุกเข้าด้วย Passion จริงๆ เขาถึงรู้สึกว่าอยากจะลอง”
โดยลักษณะงานที่ต้องทำงานเป็นทีม จึงมีหลักการบริหารงานด้วยการสนับสนุนทีมและจาก Passion ของตัวเองผลักดันให้ทีมทำงานมี Passion เช่นเดียวกัน ซึ่งได้กล่าวว่าหากไม่มีทีมงานที่ดีก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้ กับฉายา ‘วอดก้า กาย’ ที่ได้มา หนุ่มนักบริหารการตลาดของสเมอร์นอฟ ได้เล่าถึงที่มาให้ฟังว่า
“เป็นเพราะว่า ผมทำว้อดก้ามาตั้งแต่เริ่ม คือตอนนั้นปี 2006 - 2007 ร้านอย่างนี้ไม่มีนะครับ จะสั่งไหมไทยรสชาติอะไรก็ไม่รู้ คือไม่มีเลย มี Hyde & Seek อยู่ในซอยร่วมฤดี วันนั้นก็เลยบิลต์บาร์เทนเดอร์เล็กๆ ของวอดก้า โอเคผมทำงานวอดก้า ผมก็มีส่วนร่วมในธุรกิจ แต่ว่ามันก็เป็นความสัมพันธ์ด้วยสำหรับเพื่อน แล้วก็ผมก็เข้าไปบิลต์บาร์เทนเดอร์ทั่วประเทศเลย ตอนนั้นทำกับ ททท.ด้วย เข้าไปบิลต์ให้ร้านอาหารมาสนใจเรื่องการทำค็อกเทล และพยายามที่จะทำวอดก้า แต่ถ้าจริงๆ เลยโดยความสัตย์นะครับ ผมทำวอดก้ามาขนาดนี้ วอดก้าเป็นโปรดักต์แพง ยังไงก็ไม่โต ผมทำมาเกือบสิบปีผมก็ท้อเหมือนกันนะ มันไม่โตเลย แต่โอเคเราก็เป็นผู้นำตลาด ก็เลยคิดว่า ถ้าเป็นแบรนด์สเมอร์นอฟ เราสร้างให้แบรนด์อยู่ในเมืองไทยได้ จึงเริ่มสร้างมุมมองใหม่ให้ตัวเอง หากสเมอร์นอฟโตได้ ซึ่งไม่ได้โตได้ด้วยวอดก้า ก็จะโตได้ด้วยรีมิกซ์ ทำให้คนเอื้อมถึงได้
เคยถามคำถามตัวเองว่า ถ้า 35 บาทมันจะไม่พรีเมียมหรือเปล่า ก็มีคนพูดว่า 35 บาท อย่าทำนะ มันจะไม่พรีเมียม สุดท้ายแล้วคุยกับคนที่บิลต์แบรนด์ เราก็บอกว่าภาพลักษณ์มันจะเป็นยังไงมันขึ้นอยู่กับแบรนด์ กลายเป็นว่ามันดีมาก เพราะว่าเราพยายามทำยังไงให้สเมอร์นอฟโตขึ้นมานานแล้ว แต่วันนี้มันคือทางที่ถูกต้อง”
ถึงแม้ไม่เคยทำงานด้านการตลาดแต่ด้วยความเป็นคนที่มี Passion และรู้ถึงความต้องการของตัวเอง จึงไม่แปลกใจเลยว่า หากจะถาม คุณพอล สิริสันตร์ ว่า My work is my life หรือไม่ เมื่อได้สัมผัสถึงพลังที่มีอยู่ในตัวของหนุ่มวอดก้า กาย ท่านนี้
“สำหรับผมไม่เคยมองว่าประสบความสำเร็จกับตำแหน่งนะครับ แต่จะมองว่าวันนี้ตัวเองมีความสุข มีอิมแพ็คถึงสังคมหรือ Culture ยังไงหรือเปล่า จะมองอย่างนี้มาโดยตลอด วันนี้คือภูมิใจ แล้วก็มีความสุขมากที่ผมยังบาลานซ์ในเรื่องของความชอบส่วนตัว เป็นดีเจ ทำเพลงอะไรต่างๆ กับแบรนด์แล้วก็ทำงาน 8 - 10 ชั่วโมง มันมากกว่าเวลาส่วนตัวที่เรามี เพราะฉะนั้นความสนุกของชีวิตจะอยู่ที่งาน เพราะฉะนั้นที่ผมทำด้วยน้ำมือตัวเองมาเกินปี ก็คือ เห็นงานวันนี้ เห็นสเกลที่จะทำให้สเมอร์นอฟเป็น เห็น Culture ที่สเมอร์นอฟจะเข้าถึง ก็ภูมิใจมาก แต่วันนี้เป็นแค่สเต็ปแรกนะครับ จะมีปัญหาอีกร้อยแปดพันอย่างหลังจากวันนี้ที่ต้องแก้ แต่ก็มีความสุข และรู้ว่าจะต้องมีปัญหาเยอะแน่ แต่ก็มีความสุขที่จะไปกับมัน ผมว่าถ้าเราสนุกกับงานไม่จำเป็นต้องแยก แล้วผมก็หามุมที่มีความสุขกับมันได้ ผมก็ไม่ต้องแยกชีวิตส่วนตัวกับงาน”