จุดเริ่มต้นจากความรักในการแต่งตัว และมีความชื่นชอบในงานที่สร้างสรรค์แตกต่างไม่ซ้ำใคร ส่งผลให้เพื่อนรักสามคน ได้โลดแล่นอยู่บนเส้นทางของธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้ามาถึง 17 ปี ซึ่งหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจของพวกเขา และเป็นสิ่งที่นำทางให้เขาประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ก็คือ ความรัก และการนำความเป็นตัวตนมาสอดแทรกลงในงานทุกชิ้นของ ‘Happy Berry’
คุณโจ้ รวมพล โรจนกิจ หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านเสื้อผ้าสไตล์เก๋ คือ ตัวแทนคนแรกที่จะมาเล่าย้อนไปถึงความเป็นมาของร้าน ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนมาถึงเรื่องราวของคอลเลกชั่นปัจจุบัน
“ตอนนั้นอายุ 19 ครับ กำลังเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2 ในวิชาอินดัสตรีดีไซน์อาจารย์ให้ออกแบบผลิตภัณฑ์ออกมาคนละ 1 อย่าง ในกลุ่มโจ้ก็จะมีก้อย กับเติ๊ดด้วย ซึ่งแต่ละคนก็ทำกันคนละสไตล์ ส่วนของโจ้เองก็จะเป็นสีสันสดใส อย่างก้อยจะน่ารักๆ แบ๊วๆ อย่างเติ๊ดก็จะเท่ๆ พอส่งอาจารย์เราก็ได้คะแนนท็อปกันทั้งสามคนเลย จากนั้นเราก็นำมาใช้เอง และพอเราใช้ในชีวิตประจำวันแบบตอนไปกินข้าวในโรงอาหาร เพื่อนิเทศฯ เห็นก็แบบทำให้หน่อย เราก็เริ่มทำขายเพื่อน ก็เลยเริ่มมีการบอกต่อ จากนิเทศฯไปบัญชี ไปเศรษฐศาสตร์ จนไปทั่วจุฬาฯ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้จริงจังอะไรมาก เพราะขายกันเองในมหาวิทยาลัย แต่ว่าทุกคนในมหาวิทยาลัยก็ค่อนข้างจะรู้จักเรา เพราะพวกเราจะแต่งตัวเปรี้ยว ผมสี แบบฮาราจูกุ เวลาเดินไปไหนคนก็จะจำได้ จากจุดนั้น เราก็ตัดสินใจเปิดร้านที่สยาม เป็นร้านเล็กๆ ครับ นี่คือจุดเริ่มต้น”
ที่มาของชื่อ Happy Berry
“Happy Berry มาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเล่มนึง ที่เป็นเรื่องราวของเพื่อนที่ชอบแต่งตัว 4 คน คาแร็กเตอร์ตรงกับพวกเรามาก คือ คนนึงเหมือนโจ้ คนนึงเหมือนก้อย คนนึงเหมือนเติ๊ด และก็ทำเสื้อผ้า แบรนด์ Happy Berry ขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นทุกคนก็ต้องอ่านการ์ตูนเล่มนี้เหมือนกัน และเนื้อหาในการ์ตูนก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแฟชั่น พออ่านไปเราก็ชอบ และรู้สึกว่าเหมือนเรื่องราวของพวกเรา เราจึงได้หยิบเอาแบรนด์นี้มาทำให้เป็นเรื่องจริงครับ
“คือตอนนั้นถ้าใครได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้ และมาเห็นร้านเรา เห็นเราแต่งตัว ก็จะเฮ้ย! มันมีตัวตนจริงๆ หรอ เราทำให้แบรนด์นี้มันมีชีวิตจริงขึ้นมา มันมีความบังเอิญหลายๆ อย่าง คือสิ่งที่เราทำมันดันเหมือนในการ์ตูน และเรื่องราวในการ์ตูนก็เหมือนเรา อีกอย่างคนในสมัยนั้นทุกคนก็มักจะอ่านการ์ตูนตาปิ๊งก็จะมีคนเก็ทในจุดนี้ ที่สำคัญตอนนั้นการที่นิสิตจุฬาฯ แต่งตัวเปรี้ยวๆ หัวสีๆ จะมาเปิดร้านที่สยามสแควร์ ก็ยังไม่ค่อยมี จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลก และแตกต่าง นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนสนใจ คนบางคนไม่ได้มาซื้อก็แวะมาเยี่ยมชม ซึ่งตอนนั้นก็ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนพอสมควรครับ จากจุดนั้นเราก็ค่อยๆ ขยายร้านขึ้นเรื่อยๆ จากจุดเล็กๆ กลายเป็นร้านหนึ่งคูหาซึ่งตอนนั้น หนึ่งคูหาในสยามสแควร์เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เพราะค่าเช่าค่อนข้างแพง จากนั้นก็สเต็ป บาย สเต๊ป พอเข้าห้างปุ๊บฐานลูกค้าก็ใหญ่ขึ้น ก็เป็นต่างชาติ และก็เป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันครับ”
สิ่งที่ทำให้สามารถรักษาลูกค้าไว้ได้นาน
“อย่างแรก คือเรามีของที่มาใหม่เรื่อยๆ ในส่วนของคุณภาพเราพัฒนาขึ้นมาเยอะมาก จากเมื่อก่อนวัสดุที่ใช้อาจจะหาง่ายๆ แต่เดี๋ยวนี้ต้องคัดสรรแต่วัสดุดีๆ การเย็บทุกอย่างก็ต้องประณีตมากขึ้น คือเราก็พัฒนาคุณภาพตามการเติบโตของแบรนด์ และสินค้าแทบทุกอย่างของเรามีอาฟเตอร์เซอร์วิส เพราะเดี๋ยวนี้ของเราก็ราคาสูงขึ้น คุณภาพทุกอย่างก็ต้องพัฒนาขึ้นควบคู่กันไป การที่เราอยู่มาได้ 17 ปี ขึ้นปีที่ 18 เป็นอะไรที่เราก็แอบตกใจเหมือนกันนะ เพราะไม่คิดว่าจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำจากความชอบจะมาไกลถึงขนาดนี้ แม้ว่าตลอด 17 ปี เราอาจจะไม่ได้เป็นกราฟที่ขึ้นอยู่ตลอด แต่เราก็ไม่ได้หายไปไหน ทุกอย่างมันอยู่ในทางของมัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราพอใจ อีกอย่างที่สำคัญ Happy Berry มันคือสไตล์ มันเป็นสไตล์สไตล์หนึ่งที่อาจจะอธิบายไม่ได้ว่าเป็นยังไง แต่ถ้าคนเห็นแบบนี้ก็จะรู้ว่า Happy Berry สีเด่นๆ ของเราก็คือสีชมพู แต่ก็อยู่ที่ว่ามันจะอยู่กับสีไหน สีอะไรเท่านั้นเอง คืออยากให้เซ็กซี่ ก็อยู่กับดำ อยากให้สดใสก็อยู่กับเหลือง อยากให้หวานก็อยู่กับขาว คือเราจะมีความเป็นชมพูปนอยู่ อย่างเช่นการแต่งร้านของเรา ทุกคนก็จะจำได้ว่าต้องมีสีชมพู มีกลิทเทอร์ มีวิ้งๆ นั่นคือสไตล์ของเรา สไตล์ของ Happy Berry”
คอนเซ็ปต์ล่าสุดของ Happy Berry ในปีนี้
“สำหรับปีนี้ คอนเซ็ปต์ภาพรวมของเราก็คือ กราฟิตี้ คือจะมีลวดลายทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า และเอซเซสเซอรี่ แต่ด้วยคำว่า กราฟิตี้มันมีหลายสเต็ปต์ อาจจะเป็นสเต็ปต์แบบเบาๆ หรือจะเป็นสเต็ปต์แบบหนักๆ ขึ้นอยู่ว่าเราได้แรงบันดาลใจมาจากไหน อย่างที่ฝรั่งเศส กราฟิตี้เขาก็จะค่อนข้างแรงคือจะมีมิติ การใช้สีก็จะค่อนข้างแรง อย่างซัมเมอร์นี้ แบรนด์เราก็จะเน้นใช้กราฟฟิตี้สีสันสดใส และสิ่งพิเศษที่เพิ่มเข้ามาคือ งาน Customize เพราะเราดูไลฟ์สไตล์คนทั่วไปเป็นหลัก เทรนด์คนตอนนี้จะชอบงาน Customize คือลูกค้าสามารถสั่งทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อคน ชื่อแฟน คำที่ชอบ หรือเป็นคำอะไรก็ได้ เพื่อไปมอบให้เป็นของขวัญกัน และด้วยว่าคนเดี๋ยวนี้ชอบถ่ายรูป ก็สามารถส่งรูปมาได้ ซึ่งทางร้านก็จะนำมาทำกราฟิก และสามารถพิมพ์ภาพลงไปในหนังได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า เป็นของใช้ได้เลย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสิ่งที่เราทำในซีซั่นนี้ครับ”
สำหรับคนที่สนใจแฟชั่นที่มีความสดใส และมีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่าง Happy Berry ก็สามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ IG: happyberry_ หรือ เข้าไปชมสินค้าได้ที่ร้าน Happy Berry สาขา Siam Square one ชั้น 1 และแผนก Betrend ชั้น 3 สาขาสยามพารากอน