counters
hisoparty

ธรรมะ และความรัก หลักในการดำเนินชีวิตของ ครอบครัวเดชะพงษ์พันธุ์

2 years ago

 

“ผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ...ภรรยาและสามีทั้งสองนั้นย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ" นี่คือพุทธวจนของพระพุทธเจ้าในการเลือกคู่ครองชีวิต ที่เห็นจะใช้ได้จริงในทุกยุค ทุกสมัย จวบจนถึงปัจจุบัน

          HiSoParty ฉบับเดือนแห่งความรักฉบับนี้ ได้รับเกียรติจาก คุณเอ๋ - วุฒิรักษ์ และคุณเมย์ - โศรดา เดชะพงษ์พันธุ์ สองสามีภรรยา ที่นำธรรมะมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต และการครองเรือน ได้อย่างน่าสนใจ จนมาสู่บทสัมภาษณ์ในครั้งนี้ 

          หากใช้เพียงสายตามองจากภาพลักษณ์ภายนอก ใครหลายคนคงคิดว่าทั้งคู่แค่เพียงเพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ เพราะเรามักจะได้พบเห็นคุณเอ๋ และคุณเมย์ ตามงานใหญ่ๆ ในแวดวงสังคมอยู่ร่ำไป แต่หากพิศมองให้ลึกแล้ว สิ่งที่ทั้งคู่มีช่างน่าสนใจกว่าภาพที่เห็น เพราะคุณเอ๋และคุณเมย์ เป็นคู่รักที่ใช้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในการดำเนินชีวิตจริงๆ และมีผลสำเร็จที่พิสูจน์ให้เห็นได้จากความสุขมากมายที่เกิดขึ้นในครอบครัว

ธรรมะในการดำเนินชีวิต
          คุณเมย์: “ครอบครัวของเรานำธรรมะมาใช้ตลอดค่ะ ไม่ใช่ใช้เฉพาะเรื่องความรัก เรานำมาใช้กับทุกเรื่อง ในการดำรงชีวิตทุกวัน และใช้สอนลูกด้วย ซึ่งเด็กเขารู้เรื่องนะคะ ถ้าเราบอกเขาตั้งแต่เล็กๆ แม้ตอนแรกเขาอาจจะไม่เข้าใจ แต่พอเราบอกไปเรื่อยๆ เขาจะซึมซับและเข้าใจได้เอง อย่างลูกเมย์ (น้องอามิน) เขารู้เรื่องเกิดแก่เจ็บตายแล้ว ซึ่งเด็กวัยนี้บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าอะไรคือตาย อะไรคือเกิด แต่ด้วยเราคุยกับเขาอยู่เสมอ และเราให้เขาศึกษาธรรมะไปด้วย ส่วนหนึ่งเพราะเราอยากให้ลูกรู้ไว เพราะถ้าลูกรู้และเข้าใจไวเท่าไร เขาจะได้รู้ว่า เวลาที่มีอยู่ในชีวิตตอนนี้เขาควรจะทำอะไรบ้าง เพราะเวลามันลดลงๆ ทุกวันนะ ให้เขาได้เห็นคุณค่าของเวลาในชีวิต ถ้าเขาเห็นคุณค่าเขาก็จะไม่ทำเรื่องไม่ดี เมย์คิดอย่างนั้นนะคะ

ธรรมะกับการใช้ชีวิตคู่
          คุณเอ๋ : “การใช้ชีวิตคู่ ถ้าเรามีศีลห้า ปฏิบัติให้ได้ตามศีลทั้งห้าข้อที่พระพุทธเจ้าสอน ก็จบ ชีวิตคู่จะไม่มีปัญหาเลย และจะไม่มีปัญหาอื่นๆ ในชีวิตด้วย ผมว่าเราทั้งคู่เป็นคู่ที่มีศีลเสมอกัน เรามีศรัทธา มีความเชื่อ ความเลื่อมใสในศาสนาเหมือนกัน รวมถึงมีความคิดเห็น จุดมุ่งหมาย และรสนิยมไปในทางเดียวกัน ทำให้เราไม่ขัดแย้งกัน ไม่ทะเลาะกัน”
          คุณเมย์: “อย่างที่บอกเมย์ว่าธรรมะใช้ได้กับทุกเรื่อง เรื่องชีวิต เรื่องความรักเรื่องการงาน แม้กระทั้งในชีวิตประจำวัน เรามีเรื่องให้ต้องพบเจอหลากหลาย เราก็นำธรรมะมาปรับใช้ คือเราทั้งคู่มีศรัทธา และมีหลักในการใช้ชีวิตไปในทางเดียวกันตั้งแต่แรก ทำให้ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีปัญหาในการใช้ชีวิตร่วมกันเลย”

มุมมองความรักก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน
          คุณเอ๋: “ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกระหว่างความรักกับความหลงนะ รักกับหลงมันคนละแบบกัน รักคือเราพร้อมจะให้เขาได้ทุกอย่าง โดยไม่มีเหตุผลซับซ้อน เหมือนเรารักลูกเรา จริงๆ ความรักมันมีทั้งความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งก็คือ พรหมวิหาร 4 อันนี้คือคุณธรรมของพ่อแม่ที่มีให้ลูก และการที่เป็นสามีภรรยากัน ความรักก็ดุจเดียวกัน คือมีทั้งเมตตาต่อกัน มีกรุณา มุทิตา อุเบกขา มีการวางเฉยในบางเรื่องบ้าง บางทีทำถูกบ้างไม่ถูกบ้างก็ต้องวางเฉยบ้าง ความอยากจะช่วยเหลือตลอด ความอยากจะให้ ความรักมันก็เลยเกิดขึ้นได้ ซึ่งถ้าถามว่ามุมมองความรักก่อนแต่งงานกับหลังแต่งงานเปลี่ยนไปไหม ส่วนตัวผมว่าไม่เปลี่ยนนะ เพียงแค่ตอนเป็นวัยรุ่นมันอาจจะหวือหวาหน่อย แต่หลังจากที่เราอยู่กันมานาน 10 ปีแล้ว มันก็ไม่ได้หวือหวาเท่าเดิม แต่ความรักมันไม่ได้ลดน้อยลง มันมีแต่มากขึ้นเพราะว่ามีความห่วงใย ผูกพัน หลายๆ อย่างก็เข้ามาเป็นปัจจัยเพิ่ม มีลูกขึ้นมาด้วยก็มีความคิดที่นอกเหนือจากตัวเราเอง เมื่อก่อนเราอาจเคยรักตัวเราเองมากกว่า ตอนนี้เราก็ต้องกลับมามองคนข้างๆ ไม่ใช่เรารักตัวเองให้เยอะจนเราลืมมองลูกภรรยาไป แบบนั้นไม่ได้ ต้องดึงกลับมาก่อน”
          คุณเมย์: “สำหรับเมย์ ย้อนไปก่อนแต่งงานอาจจะสนุกกว่านี้ อาจจะหวานกว่านี้ เพราะด้วยวัยที่เด็กกว่าตอนนี้ด้วย แล้วพอแต่งงานก็มีลูกเข้ามา อาจจะเปลี่ยนในเรื่องของกิจกรรมมากกว่า แต่ว่าอย่างอื่นคือไม่เปลี่ยน เพราะแว็บแรก วินาทีแรก ที่รู้ว่าคนคนนี้จะเป็นคนสุดท้ายของชีวิต มันก็คงเป็นแบบนั้น วันนี้สำหรับเมย์มันก็ยังเป็นแบบนั้น มันยังมีความสุขเหมือนเดิม เหมือนย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วค่ะ”

กฎในการใช้ชีวิตคู่
          คุณเมย์: “ไม่มีเลย ไม่ได้ตั้งกฎกัน แต่เป็นที่รู้กันมากกว่าว่าไม่ควรโกรธหรืองอนกันให้มันนาน เพราะมันจะกินความรู้สึกของทั้งคู่น่ะค่ะ”

การปรับตัวเปลี่ยนแปลง
          คุณเมย์: “ตั้งแต่ก่อนแต่งงานจนมีลูก ต้องขอบคุณพี่เอ๋มากๆ คือเมย์ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย เมย์ก็ยังเป็นเมย์แบบเดิมทุกอย่าง คือบางคนอาจจะแบบว่า แต่งงานแล้วมีความต้องการ มีความคาดหวังกับผู้หญิง เธอต้องเป็นแม่ที่ดี เธอต้องอย่างนู้นอย่างนี้ แต่พี่เอ๋ไม่เลย พี่เอ๋ทำงานหนัก ทำงานเหนื่อย เพื่อให้ครอบครัวได้มีชีวิตที่ดี โดยที่เมย์ไม่ต้องไปคิดตรงนั้นเลย เมย์คิดเพียงแต่ว่าทำอย่างไรลูกถึงจะเติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพ และรักษาสิ่งที่คุณพ่อเขาหามาในวันนี้อย่างเหนื่อยยากให้มั่นคงอยู่ เพราะมันเป็นเรื่องยากเหมือนกันที่จะให้เด็กสมัยนี้เห็นคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเกิดมาเขามีทุกอย่างแล้ว แต่เราต้องให้เขารักษาสิ่งพวกนี้ให้มันคงอยู่แล้วก็ดูแลตัวเองต่อไป ให้อยู่ให้ได้ โดยที่ไม่ใช่พึ่งแต่พ่อแม่”

วิธีถนอมความรัก
          คุณเมย์: “เมย์ไม่เคยใช้คำหนักคำแรง หรือไม่เคยทำท่าทีไม่พึงพอใจมากเกินไปให้เขารู้สึกว่าอึดอัดที่อยู่กับเรา แน่นอนมันอาจจะมีเรื่องที่ไม่พอใจบ้าง เพราะคนเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเป็นสิบปี แต่บางทีก็เลือกที่จะเงียบไว้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แล้วก็เลือกที่จะเข้าใจ คือปรับเขาไม่ได้ บางเรื่องก็ปรับเราแล้วกัน อันนี้เป็นสิ่งที่เมย์ใช้มาตั้งแต่เมย์เด็กๆ แล้ว ปรับใครไม่ได้เมย์ก็ปรับตัวเอง เมย์ไม่เคยมีทิฐิกับความรักเลย ถ้าผิดขอโทษ ไม่เคยแบบว่า คุณต้องมาง้อฉันสิหรือว่าอะไร เพราะมันเป็นทุกข์น่ะ เสียเวลา ผิดก็ขอโทษ ไม่พอใจก็บอกแค่นั้นเองค่ะ”
          คุณเอ๋: “สำหรับผมอะไรคือสิ่งที่เขาไม่ชอบเราก็อย่าไปทำ บางทีเราอาจจะลืมไปบางเรื่อง ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเกิด เราก็พยายามปรับให้มันเร็วที่สุด คือรู้ปุ๊บต้องแก้ไขเลย ไม่ใช่ปล่อยให้มันเลยวันเลยคืน การที่ทะเลาะกับคนที่เรารัก แค่ 1 นาทีแต่เวลาที่เหลือในสมองของวันนั้นจะมีความคิดเรื่องที่ทะเลาะกันแฝงอยู่ ซึ่งแค่วันวันหนึ่งเราต้องทำงานมันก็เยอะมากพออยู่แล้ว เราไม่ควรที่จะต้องมานั่งทะเลาะกับคนในครอบครัวหรือคนที่เรารักเลยแม้แต่นิดเดียว มีอะไรให้พูดให้บอกเลยว่าชอบไม่ชอบหรือจะต้องทำอย่างไร ให้มันจบไปเลย ไม่อย่างนั้นมันทุกข์ อย่างที่บอก เรื่องอื่นมันก็กระทบเราเยอะอยู่แล้วในแต่ละวัน แล้วเราต้องเอาเรื่องความรักมาเป็นเรื่องกระทบจิตใจอีกมันก็ไม่ถูก ผมเป็นคนไม่มีทิฐิ ผมพร้อมขอโทษได้เสมอ ทั้งกับครอบครัว เพื่อน หรือลูกน้องหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่มีใครถูกหมดทุกเรื่อง บางทีเราอาจจะตัดสินใจไวเกินไป คิดเร็วเกินไป ทำให้บางครั้งมันอาจจะเกิดความผิดพลาด ถ้ามีใครมาเตือนเรา และเราระลึกได้ เราก็ต้องขอโทษได้เสมอครับ”

โลกหมุนรอบกันและกัน
          คุณเมย์: “เราไม่ใช่ครอบครัวที่มีลูกเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างค่ะ เราจะไม่เอาหลักนั้นมาใช้กับครอบครัวเรา แต่เราจะให้ทุกคนหมุนไปพร้อมๆ กัน ให้บาลานซ์ จะไม่เอาลูกเป็นที่ตั้งแล้วทุกคนต้องฟัง ไม่ใช่ค่ะ ลูกต้องเดินไปตามสเต็ปแล้วก็ไปแบบธรรมดาที่สุด เติบโตแบบธรรมดา เติบโตแบบไม่ได้พิเศษอะไร เมย์ว่าโลกความจริงมันคือแบบนั้น แต่ถ้าเราเอาเขาไปเป็นศูนย์กลาง เมย์ว่ามันผิดธรรมชาติ แล้วตัวเขาเองก็จะอยู่ลำบากในอนาคต ถ้าทุกอย่างต้องเอาเขาเป็นที่ตั้งเสมอ ซึ่งเรื่องนี้เราสองคนพี่เอ๋ และเมย์คิดตรงกัน”

วันพิเศษของเราสองคน
          คุณเอ๋: “ผมมีตลอด ไม่มีวันลืม”
          คุณเมย์: “เมื่อก่อนเมย์เป็นคนที่เรียกร้องอยากได้วันพิเศษ อยากไปกินข้าวข้างนอกบ้าง อยากมีอะไรที่พิเศษ แต่พี่เอ๋เขาจะแบบเป็นผู้ชาย ไม่ค่อยคิดถึงเรื่องนี้ เราก็เรียกร้องว่าอยากมี เขาก็จัดให้ กลายเป็นว่าทุกวันนี้คือจัดให้ตลอด จนบางทีตอนนี้เมย์รู้สึกว่า ไม่อยากได้อะไรแล้ว เพียงแค่อยากให้รู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญนะ กินข้าวกันนิดหน่อย เพราะตอนนี้สำหรับเมย์เหมือนมันเต็มจนไม่รู้จะยังไงแล้ว ไม่อยากให้เขาไปลำบากหาของ เขาให้เราตลอดอยู่แล้วค่ะ”
          คุณเอ๋: “จริง ๆ เป็นเรื่องที่ปวดหัวนะ ในการหาของ เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยเซอร์ไพรส์ใคร เป็นคนชอบถามมากกว่าว่าต้องการอะไร” (ยิ้ม)
          คุณเมย์: “จนถึงทุกวันนี้พี่เอ๋ ให้ความสำคัญกับวันพิเศษเสมอ และหาของมาเซอร์ไพรส์ตลอด แต่เมย์ไม่ค่อยมีอะไรให้พี่เอ๋เลย”
          คุณเอ๋: “ไม่ต้องมีหรอก มีแค่ความรักให้แค่นี้ก็พอแล้ว มีให้ทุกวันนี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องรักมากแต่รักเท่าเดิม” (หัวเราะ)

ส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกัน
          คุณเมย์: “เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดค่ะ เหมือนเป็นเพื่อนเหมือนเป็นทุกอย่าง ไม่เคยมีคำว่าเบื่อ เพราะเขาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราเลย”
          คุณเอ๋: “ทุกวันนี้ ถ้าเมย์ไม่ได้ไปด้วย มันจะรู้สึกแปลกมาก ล่าสุดคือผมต้องไปงานโดยที่เมย์ไม่ได้ไปเพราะเขาไม่สบาย ผมรู้สึกไม่ชินมากๆ”
          คุณเมย์: “เขากลับมาบอกว่า พี่ไม่ไปแล้วนะถ้าไม่มีหนู เพราะมีแต่คนถามว่าเมย์ไปไหน (หัวเราะ) อีกอย่างเขาก็ไม่ชินถึงวันนี้เราสองคนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกันแล้ว หากวันหนึ่งเจอเรื่องไม่พอใจก็มองไม่เห็นทางแยก คู่เรามองไม่เห็นทางแยกนั้นเลยมันมองแต่ทางที่จะต้องไปด้วยกันจนสุด จนหมดลมหายใจค่ะ” (ยิ้ม)

ศีลเสมอกัน
          คุณเมย์: “ที่ทำให้คู่เราอยู่กันมาได้แบบนี้ อาจจะด้วยเรื่องของธรรมะ เมย์ไม่อยากทำอะไรผิดเลย หมายความว่าหากเราทำผิด เมย์ไม่อยากต้องมานั่งชดใช้กรรมในสิ่งที่ทำผิด เมย์อยากทำชีวิตนี้ ที่คิดว่ามันเป็นชีวิตสุดท้ายให้มันดีทุกเรื่องและกับทุกคน ไม่ใช่แค่เรื่องสามี คือทุกคนรอบข้างเลย เมย์ไม่อยากไม่ดีกับใคร อยากใช้ชีวิตสุดท้ายนี้ให้ดีที่สุดค่ะ”
          คุณเอ๋: “ถ้าเกิดคนเข้าใจแก่นของศาสนาจริงๆ อย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกว่าถ้ารักษาศีลห้าได้ ชีวิตครอบครัวหรือทุกสิ่งอย่างในชีวิต ทั้งการงานทุกสิ่งอย่าง มันจะดีบริบูรณ์ไปหมดครับ ถ้าเรารักษาศีลมันจะไม่ทำให้มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นได้เลย”

...เห็นจะจริงดั่งคำที่ว่า คนที่รักษาศีลจะรู้จักยับยั้งชั่งใจพากันไปสู่สิ่งที่ดีงามสร้างชีวิตครอบครัวให้มีความสุข ซึ่งคนที่ศีลเสมอกัน นั้นจะชวนกันทำแต่ความดี ทำให้มีชีวิตที่เจริญ และพบกับความสุขที่แท้จริง เฉกเช่นทั้งคู่ที่เราได้สัมภาษณ์ในวันนี้...

Photo By : Pumkiat
Author By : Arunlak

SHARE