ภาคอีสานอาจจะถูกนักท่องเที่ยวหลายคนเมิน ทั้งที่จริงแล้วมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวไม่แพ้ภาคอื่นๆของไทย อย่างบึงกาฬ ถึงจะเป็นจังหวัดน้องใหม่ของไทย แต่มีธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมที่น่าทึ่งมาก จะมีมุมไหนที่น่าเที่ยวบ้าง ตามมาดูกันเลย
หินสามวาฬ
หนึ่งในฮอตสปอตของบึงกาฬที่ทำให้นักท่องเที่ยวร้องว้าว คือ หินสามวาฬ ซึ่งอยู่ที่ภูสิงห์ที่นี่เป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ที่จริงบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยกลุ่มก้อนหินรูปทรงต่างๆ หน้าผา และถ้ำ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ เกิดเป็นความสวยงามแปลกตา
แต่ตรงหินสามวาฬเป็นหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง แยกตัวเป็น 3 ก้อนใหญ่ๆ เรียงต่อกัน มีอายุประมาณ 75 ล้านปี เมื่อมองดูจากด้านบนด้วยโดรนก็จะพบว่าหินสามก้อนนี้จะดูคล้ายกับฝูงครอบครัววาฬ มีทั้งพ่อวาฬ แม่วาฬ และลูกวาฬ ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดในภูสิงห์อีกด้วย โดยเฉพาะช่วงแสงแรกของวัน
ถ้านั่งเพลินๆ บนนี้ก็จะเห็นวิวทิวทัศน์แบบไกลสุดลูกหูลูกตา ผืนป่าสีเขียวที่อุดมสมบูรณ์ เรียกได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของบึงกาฬก็ว่าได้
นอกจากบริเวณหินสามวาฬแล้ว ยังมีหินหัวช้างที่เหมือนกับหัวช้างจริงๆ และประตูภูสิงห์ ที่มีหินสองก้อนอยู่ใกล้กัน เว้นช่องตรงกลางเป็นเหมือนช่องประตูที่เป็นวิวเทียบชั้นระดับเวิลด์คลาสได้สบายๆ
ภูทอก
หินสามวาฬว่าอะเมซิ่งแล้ว ภูทอกก็เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ทำให้บึงกาฬกลายเป็นจังหวัดที่ไม่ธรรมดา ที่จริงแล้วภูทอกเป็นที่ตั้งของวัดเจติยาศรีวิหาร หรือ วัดภูทอก โดยมีพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ เป็นผู้ก่อตั้ง
จะมาเที่ยวที่นี่ต้องออกแรงกันนิดหน่อย เพราะต้องเดินไต่เขาขึ้นภูทอก ซึ่งทางวัดได้ทำสะพานไม้ และบันไดรอบๆ ภูทอก ที่จะใช้แค่เพียงบันไดวนไปมาแบบ 360 องศา มีทั้งหมดกว่า 7 ชั้น ใช้เวลาสร้างนานถึง 5 ปี โดยบันไดแต่ละชั้นจะแตกต่างกันไป จากชั้น 3 ถึงชั้น 6 จะสามารถเดินเวียนรอบได้ ส่วนชั้นที่ 5 ถึง ชั้น 7 จะจัดให้เป็นแดนสวรรค์ ที่ต้องสำรวมระวังกาย วาจา และหรือสวดมนต์ไปด้วย ซึ่งหากต้องการหาจุดชมวิวสวยๆ จากบนภูทอก ต้องไปให้ถึงชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด
เวลาที่เดินขึ้นบันได นักท่องเที่ยวก็จะได้เห็นวิวที่แตกต่างกันไป จากมุมของบันไดที่ทอดขึ้นสู่ยอดภูทอก ที่จริงแล้วเส้นทางสู่ยอดภูทอกนี้ จะเรียกว่าเป็นเส้นทางแห่งธรรมก็ว่าได้ เพราะนักเดินทางต้องใช้ความเพียรพยายาม และความมุ่งมั่นอย่างมาก จึงจะขึ้นมาสู่ภูทอกได้
เรียกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงการแสวงบุญ ที่นอกจากจะได้เที่ยวชมธรรมชาติแล้ว ก็ยังได้ศึกษาพุทธศาสนาไปพร้อมๆ กันอีกด้วย
หากใครเดินทางมาที่นี่ในช่วงฤดูหนาว มองจากบนภูทอกจะเห็นทะเลหมอกอยู่รอบๆ ราวกับว่าได้อยู่บนสวรรค์เลยทีเดียว ที่นี่จึงเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งอันซีนและท้าทายอย่างมาก
ถ้ำนาคา
เมื่อมาถึงบึงกาฬทั้งที น่าจะมีที่เดียวที่ไม่ควรพลาดเลยคือ ถ้ำนาคา ซึ่งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติภูลังกา นี่คือแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่ได้รับความนิยมอย่างมากในรอบหลายปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่าไฮไลต์ของที่นี่คือรูปทรงของหินที่มีรูปร่างเหมือนงูยักษ์หรือที่เรียกกันว่าเศียรพญานาค ผนังถ้ำมีลักษณะเป็นเกล็ดงูขนาดใหญ่ นอนขดตัวอยู่ปากถ้ำอยู่บนหน้าผาสูง ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตสำหรับคนที่ชอบธรรมชาติ และความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวของพญานาคที่เชื่อมโยงกับแม่น้ำโขง
หากใครวางแผนเดินขึ้นถ้ำนาคา ต้องเริ่มต้นออกเดินเท้าขึ้นเขากันตั้งแต่ช่วงเช้า โดยทางเดินจะเป็นดินสลับกับบันไดเหล็ก ในช่วงแรกเป็นการเดินลุยป่า จากนั้นก็จะเป็นบันไดชันหน่อยแต่ไม่ลำบากมากเหมือนช่วงเปิดถ้ำใหม่ๆ
เมื่อเดินขึ้นไปถึงด้านบนก็จะถึงถ้ำนาคา ที่เป็นซอกหินเล่นระดับลงไปด้านล่าง ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียว ดูสวยงาม ผนังมีลวดลายคล้ายเกร็ดงูขนาดใหญ่นอนขดตัวตามความเชื่อของชาวบ้านและความเชื่อของแต่ละบุคคล นอกจากนี้จะมีเศียรพญานาคอีกหลายจุด
หากยังไม่หมดแรง จะเดินเท้าต่อไปยังเจดีย์ของหลวงปู่เสาร์ และเจดีย์หลวงปู่วังต่อก็ได้ ที่นี่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมบนยอดเขา บรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับการมานั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม
วัดป่าเมืองเหือง
แวะไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดป่าเมืองเหืองหรือวัดศรีบุญเรือง ซึ่งเป็นวัดโบราณเล็กๆ อยู่ติดแม่น้ำโขง วัดนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อครั้งขอมเรืองอำนาจสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ไฮไลต์จะอยู่ที่องค์พระพุทธนาคนิมิตต์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำวัดที่ประดิษฐานริมแม่น้ำโขงหันหน้าออกไปริมแม่น้ำโขง
เชื่อกันว่าใครมากราบไหว้ขอพร มักสมปรารถนา และบางช่วงที่น้ำไม่เชี่ยวเราสามารถลงเรือไปนมัสการศาลปู่พญานาคศรีสุทโธและทัวร์แก่งสะดอกกลางแม่น้ำโขง ข้างล่างแก่งสะดอกจะมีถ้ำ ช่วงหน้าแล้งน้ำลด แก่งจะสวยงามมากสามารถเดินเที่ยวได้ด้วย
นี่คือบึงกาฬ จังหวัดเล็กๆ ในภาคอีสานที่ไม่ธรรมดา
