‘พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส’ คำกล่าวร่วมสมัยที่จะไม่มีทางมีความหมายเลย หากคุณไม่ทำให้มันเกิดขึ้นจริง ผิดกับผู้ชายเลือดนักสู้คนนี้ คุณต่อ-ภูมิพัฒน์ รองรัตน์ ตำแหน่ง: Managing Director Color One Capital Co.,Ltd. บริษัท: คัลเลอร์ วัน แคปปิตอล จำกัด Project: GLOMARINE เบอร์ต้นๆ ของวงการธุรกิจยานยนต์ ที่สามารถปรับตัว ด้วยการดึงของดีที่มีอยู่มาพลิกโฉมความน่ากลัวให้กลับมาสวยงามบนเส้นทางของความปลอดภัยได้อย่างน่าชื่นชม เพราะวิกฤตเป็นเรื่องชั่วคราว การพบเจอกันในครั้งแรกจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะตกใจ หรือช็อกกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับคุณต่อ หลังจากต้องรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโควิด – 19 ก็สร้างประสบการณ์ใหม่ในธุรกิจของเขาไม่น้อย
“ช็อกนิดหนึ่งครับ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร เราทำอาชีพเกี่ยวกับรถ ลูกค้าก็เหมือนไม่มีใครอยากออกจากบ้าน ล็อกดาวน์คุณจะไปไหนล่ะ ก็ต้องอยู่บ้าน เราก็เลยมองว่าเรามีผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง”
“จริงๆ บริษัทลูกของเราอีกที่หนึ่งทำ Cleaning อยู่พอดี แล้วเขาก็เริ่มตรงสายนี้มาก่อนที่โควิดจะมีการระบาดได้สักระยะหนึ่ง พอเราเห็นทางนั้นมันไปได้ มีคนติดต่อเข้ามา บวกกับเรามีการโปรโมทผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่นำมาใช้ คุณสมบัติ Prove มาจากเมืองนอก ได้รับการรับรองมาตรฐาน US EPA และ FDA ผมเชื่อว่าถ้าน้ำยาไม่มีความน่าเชื่อถือ คนก็ไม่เลือกใช้ครับ”
จากสถานการณ์ของโควิด -19 ที่เกิดขึ้นได้รับผลกระทบอะไรบ้าง
“ผมว่าผลกระทบมันเกิดขึ้นกับทุกๆ คนนะครับ เพราะไม่มีใครตั้งตัวทัน แต่โชคดีที่เรามีทางออกหลายทาง ด้วยธุรกิจของเราไม่ได้มุ่งหน้าทางเดียวหรือเป็นกระดานด้านเดียว ฉะนั้นพอมาเจอเรื่องโควิดเราก็สามารถที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทางบริษัทมี บังเอิญมันเกี่ยวกับการฆ่าเชื้อโรคพอดี ฉะนั้นงานที่เราทำจึงเกี่ยวข้องกับ Cleaning มาตลอด รวมถึงการฆ่าเชื้อโรคด้วย เราทำมานานแล้วมันเป็นการแตกไลน์เป็นอีกหนึ่งสายธุรกิจ เพราะเราก็มีการเตรียมโปรเจกต์ที่จะทำกับ AOT เอาไว้ เกี่ยวกับการ Cleaning ภายในพวกผ้าใบที่มีเชื้อโรค ฝุ่น และความสกปรกต่างๆ ก่อนหน้านี้เราได้มีโอกาสบินไปดูสนามบินต่างๆ ในยุโรป อย่าง แฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เพราะสาขาของเราที่นั่นก็ทำให้สนามบินต่างๆ ในโลก รวมถึงซิดนีย์ด้วย ฉะนั้นเราจึงมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการฆ่าเชื้อโรค กำจัดไวรัส ซึ่งอยู่ใน Station ของการ Cleaning
“แต่พอโควิดมา โปรเจกต์ต่างๆ ก็ถูกระงับ บังเอิญเราก็คิดได้ว่า เรามีน้ำยาของแบรนด์ Aegis อยู่ มีมานานแล้ว ซึ่งมีคุณสมบัติค่อนข้างดี เพราะเคยใช้ตั้งแต่ตอนที่มีโรคซาร์ส H1N1 ในประเทศไทยอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นก็หายไป ครั้งนี้เราก็เลยเอากลับมาครับ ตัวน้ำยาเป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยทั้งกับคนและสัตว์ สามารถที่จะพ่นเคลือบฆ่าเชื้อโรคได้ค่อนข้าง Effective มาก ก็เลยสามารถที่จะพ่นเคลือบบนพื้นผิวได้ พร้อมทั้งฆ่าเชื้อโรคได้ในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับพื้นผิวที่เราใช้ โดยไม่ทิ้งความเปียกชื้นหลังฉีดพ่น ซึ่งน้ำยาตัวนี้จะปกป้องได้อีกประมาณ 6 เดือน เมื่อเชื้อโรคหรือไวรัสกลับมาในห้องนั้นอีกก็ถูกกำจัดออกไป
“เราก็เลยใช้วิกฤตเป็นโอกาส นำผลิตภัณฑ์ที่เรามีอยู่มาช่วยขาย เริ่มทำโปรเจกต์แรกที่ AOT ไปพ่นฆ่าเชื้อที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นก็ได้ไปพ่นที่วัด กระทรวงต่างๆ ศุลกากร อาคาร ธนาคาร อย่าง CIMB ตึกใหญ่ 26 – 27 ชั้น เราก็พ่นหมดเลย แต่ละงานจึงมีขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควรครับ”
มีการปรับกลยุทธ์ขององค์กรอย่างไรบ้าง
“คนกลัวเพราะล็อกดาวน์ ไม่สามารถออกจากบ้านได้ เราก็เลยเข้าไปทำให้เขาถึงบ้าน ไป Service In Home ในเวลาเดียวกัน เราก็ได้ Apply การฆ่าเชื้อโรคในบ้าน แล้วก็ทำในรถไปด้วย เพราะตอนนั้นทุกคนก็กลัว ไม่รู้ว่าไปที่ไหนแล้วจะสัมผัสเชื้อ ไม่รู้ว่าคนที่มาขึ้นรถ หรือสิ่งที่เขาไปเจอมันเป็นอย่างไรบ้าง มีหลายท่านอยากให้พ่นทุกอย่างที่พ่นได้ เพราะคุณสมบัติน้ำยามีประสิทธิภาพที่ดีมาก ไม่ทำลายโซฟาไม่ทำลายเสื้อผ้า ไม่เหมือนน้ำยาบางตัวที่มีสารเคมีหรือแอลกอฮอล์สูงเกินไป ซึ่งมันก็จะไปกัดสิ่งที่เราใช้ในบ้านให้ด่างหรือเสียหายได้
“การที่เราจะคิดธุรกิจที่ Verified ตัวเองแล้วก็ Adapt ตัวเอง ผมว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ การเป็นผู้บริหารต้องมองวิสัยทัศน์ที่ดี ทีมงานข้างหลังบ้านต้อง Follow และเข้าใจ เพราะอยู่ดีๆ จากทำรถแล้วมาพ่นฆ่าเชื้อโรคมันคนละเรื่องกันเลย แต่ด้วยองค์กรของเราสามารถที่จะ Adapt ตัวเอง เปลี่ยน Vision ให้เร็ว บวกกับ Execution สำคัญคือ Timing ผมว่า is everything แล้วตอนนั้นที่เรา Launch เราก็โชคดีมาก เพราะมีผู้ใหญ่เห็นในความสามารถ แต่ถ้าเราไม่ได้ทำด้วยตัวเอง ผมว่ามันก็ไม่เกิด เราต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ แล้วก็ Make Sure ว่าของเราเวิร์คจริงๆ ไม่ใช่อยู่ดีๆ อยากจะไปหยิบแอลกอฮอล์ผสมน้ำแล้วไปพ่นตามบ้านคน แบบนั้นก็ไม่ได้ หรือเอาไฮเตอร์ไปใส่แล้วพ่นอย่างนี้ไม่ได้ ฉะนั้น น้ำยาเป็นสิ่งหนึ่งขององค์ประกอบ บวกกับ Vision ของเรา ตอนแรกก็ตั้งใจว่าอยากจะขยายให้มันไปไกลที่สุด ช่วยคนให้ได้เยอะที่สุด เราก็เลยเริ่มจากตรงนี้แต่จริงๆ ตอนแรกเริ่มเราทำให้ฟรี เราทำให้คนที่เขาลำบากก่อน คนที่เขาไม่มีเงินทุนหรือไม่มีศักยภาพ เพราะตอนนั้นผมว่าไม่มีใครตั้งตัวทัน ซึ่งเราโชคดีที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์พร้อม เลยทำให้เราปรับตัวได้เร็วครับ”
การปรับตัวใช้ชีวิตรูปแบบใหม่
“เราทำประกันให้พนักงานทุกคน ถ้าเกิดอะไรขึ้น เราก็ยังรับผิดชอบพนักงาน ฉะนั้นเราต้องลงพื้นที่เอง ผมว่าอันนี้สำคัญ เพราะถ้าเราไม่ไปเอง แล้วลูกน้องจะไว้ใจได้อย่างไร มันเป็นช่วงเวลาการวัดกับชีวิตแล้วถ้าเราไปที่ที่มีเชื้อโควิด เขาก็กลัว ยิ่งเจ้านายไม่ไป มันไม่มีลีดเดอร์ถ้าเราไปแล้วยืนอยู่ข้างเขา เขาก็จะมั่นใจว่านายก็มานะ ถึงจะกลัวเหมือนกัน ความปลอดภัยช่วงวิกฤตก็สำคัญ ฉะนั้นอุปกรณ์ เช่น ชุด PPE ถุงมือ แว่นตา และอุปกรณ์ที่ต้องใส่เข้าไปในการปฏิบัติงานก็ต้องเตรียมพร้อม แล้วเราก็มีชุด Covid Test เราต้องระวังพนักงานของเรา เพราะชีวิตทุกคนสำคัญ ไม่ใช่ว่าเอาลูกน้องออกไปเสี่ยง แล้วเขาไม่สบายตายขึ้นมามันก็ไม่ใช่ แต่ดีตรงที่เวลาเราจะเข้าพ่นที่ไหน เราใช้น้ำยาพ่นตัวเองก่อน ซึ่งทำให้เชื้อโรคไม่กลับออกมาด้วย น้ำยาของเราพ่นแบบนี้ได้ จริงๆ พ่นโดยที่ไม่ต้องใส่ชุดก็ได้ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นอันตราย น้ำยาถูกออกแบบมาอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นน้ำยาตัวอื่นผมก็ไม่แนะนำครับ”
สิ่งที่ได้รับและได้เรียนรู้จากวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น
“ช่วงโควิดผมว่าคีย์ปัจจัยคือใจต้องสู้ แล้วก็ต้องกล้าแลกมากๆ แล้วก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด มองหาสิ่งใหม่ๆ ตอนแรกที่เราทำพ่นฆ่าเชื้อโรคเป็นเซอร์วิส แต่ตอนหลังเราทำออกมาขายรีเทล แล้วเราก็แจกให้คนนั้นคนนี้ครับ ซึ่งมันก็ทำให้การขายของ มาร์เก็ตติ้งเกิดขึ้น เราเริ่มจากการให้ก่อน พอให้แล้วผลก็ตามมา คนเริ่มซื้อ ทีนี้เราก็ขายได้ต่อเนื่อง ผมเห็นหลายคนซัฟเฟอร์ ที่ธุรกิจเจ๊งบ้าง ปิดบ้าง ไม่รอดบ้างผมว่าเราต้องเข้มแข็ง แล้วเราก็ต้องให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ พยายามคิดหลายๆ ทาง ผมก็เห็นหลายคนปรับตัวเอง หันมาทำ Food Delivery ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้งานของเราในช่วงวิกฤตกลายเป็นโอกาสครับ”
ข้อคิดที่คุณยึดถือเพื่อใช้ในการก้าวผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆ ในชีวิต
“ต้องมีสติครับ แล้วก็ค่อยๆ คิด แต่เราก็ต้องรอบคอบในสิ่งที่เราจะทำ เพราะว่าในช่วงวิกฤต มันมีแค่ Win or Break ไม่มีตรงกลาง เพราะตรงกลางคือโอกาสมันเป็นปกติ หมายความว่า It’s not time ที่เขาเรียกว่า Crisis เพราะฉะนั้นการที่คุณใช้โอกาสขึ้นมาในช่วงวิกฤตคุณต้องมีสมาธิ ต้องมีสติในการคิดว่าคุณทำแล้วมันจะเวิร์คเท่าไร มองจากตัวเองก่อนว่าคุณมีศักยภาพที่จะทำอะไรที่ได้มากกว่าที่คนอื่นเขาทำไหม บางคนอาจจะไม่มีโอกาส เขาก็ทำเท่าที่ทำได้ แต่ถ้าเรามีโอกาส ใจก็ต้องสู้ ถ้าเกิดเราไม่สู้ ผมว่ามันทำให้ทุกอย่างไม่เดินหน้า อันนี้เป็นสิ่งสำคัญเลย ผมว่าถ้าคุณไม่ยอมแพ้ ในช่วงที่ท้อแท้ที่สุดของชีวิต คุณก็ต้องลอง ไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็ต้องลอง ถ้าลองแล้วเวิร์คมันก็เป็นสิ่งที่ดี ก็ทำให้เราขายได้หลายๆ อย่าง แต่ถ้าตราบใดที่คุณยังไม่ได้ลอง คุณก็ยังไม่รู้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการมีสติ เพราะถ้าคุณไม่มีสติคุณก็จะท้อแท้ แล้วคุณก็จะไม่เอาครับ”
“โลกมันเปลี่ยนไป มันคือ New normal ทุกคนใส่หน้ากาก เราก็หันมาทำธุรกิจส่งออกอุปกรณ์ทางการแพทย์ เราทำทุกอย่างที่มันเป็นไปได้ ฉะนั้น การที่เราสามารถที่ปรับตัวได้ มันสำคัญครับ ใช้สติคิด อย่าไปวู่วาม เพราะถ้าเราจับ Source อะไรดีๆ ได้ ก็เต็มที่เลยครับ จริงๆ ผมว่าตอนนี้ผมขายดีกว่าทำรถอีก (หัวเราะ)”