คุณได้คิดไว้หรือยังว่า ในขณะที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบ หลังเกษียณคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร? ในฐานะอดีต สส. กทม.การลงพื้นที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนมาตลอดหลายปี ทำให้ได้เห็นปัญหาที่แท้จริงที่ผู้สูงวัยต้องเผชิญ ในมุมมองของ ‘ดร.รัชดา ธนาดิเรก’ การเตรียมตัวรับมือไม่ต้องรอเวลาให้แก่ แต่ต้องเป็นการวางแผนล่วงหน้าตั้งแต่ยังอยู่ในวัยทำงาน
“คำว่า สังคมผู้สูงอายุ (Aged Society) ไม่ใช่แค่ประเด็นหรือวาระแห่งชาตินะคะ มันไม่ใช่แค่ประเด็นที่คนอายุ 60 ขึ้นไปแล้วค่อยมาตื่นตัว แต่ต้องเป็นคนทุกวัยต้องตื่นตัวกับเรื่องนี้ เพราะถ้ามีคนที่อายุ 60 ขึ้นไป 20% ของประชากร เท่ากับทุกๆ 5 คนเราจะเจอคนเกษียณ 1 คน คำว่าเกษียณคือเราไม่ต้องทำงานแล้ว ไม่มีรายได้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่า 5 ปี 10 ปีตาย อายุเฉลี่ยคนไทยเพิ่มไปเป็น 84-86 ปี คิดกันหรือยังว่าเราจะอยู่อย่างไร เพราะอีก 26 ปีที่เราต้องอยู่ต่อ ถ้าต้องอยู่แบบไม่มีรายได้มันน่ากลัวนะ แล้วบั้นปลายชีวิตในช่วงท้ายๆ เราจะเจ็บป่วยบ่อย อาจถึงขั้นที่เราดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องเสี่ยงกับโรคเรื้อรัง ฉะนั้นเราจะมีค่าใช้จ่ายอีกมาก และยังต้องพึ่งพิงคนอื่นอีก
“จากที่เราทำเรื่องผู้ป่วยติดเตียง เดินเยี่ยมชุมชน แจกผ้าอ้อม จะเห็นว่าชีวิตมันหดหู่มากค่ะ เป็นปรากฎการณ์ที่เจอตลอดเวลา บางบ้านแม่อายุ 80 กว่า ลูกก็ 60 กว่า หลานก็ไปทำงาน บางบ้านติดเตียงหมดเลย 4 คน มีคนดูแล 1 คน ทีนี้ถ้าเรารอให้อายุ 60 แล้วค่อยคิดเรื่องนี้มันไม่ทัน มันต้องเตรียมตั้งแต่วันนี้
“ข้อแรก ต้องเตรียมว่าถ้าอยู่กับคนแก่ในบ้านต้องรู้จักปฐมพยาบาล รู้จักบีบนวด เข้าใจความรู้สึกแต่เราต้องรู้ถึงวิธีการดูแลคนแก่ในบ้านอย่างไร ดูแลคนแก่นอกบ้านอย่างไร ถ้าเดินไปที่ไหนแล้วคุณเจอคนแก่เราต้องช่วยเหลือเขา ข้อสองคนที่อยู่ในวัยทำงาน เมื่อทำงานปุ๊บต้องวางแผนเก็บเงิน ต้องฉายภาพตัวเองให้ได้ว่า ถ้าวันนี้คุณมีเงินบาทแรกที่เข้ากระเป๋า แล้วพออายุ 60 คุณจะไม่มีเงินแล้ว คุณจะอยู่อย่างไรให้ได้ถึงอายุ 86 ปีที่เป็นอายุเฉลี่ยของคนไทย ต้องสร้างนิสัยวางแผนการเงินและดูแลสุขภาพ ยามแก่ถ้าเราเจ็บป่วยเราจะเป็นภาระกับคนที่เรารัก แล้วเงินที่เราออมมามันก็หมด ลูกหลานก็ต้องมาดูแลเรา ซึ่งมันไม่แฟร์กับเขาค่ะ เพราะฉะนั้นการคิดเรื่อง Aging ไม่ใช่คิดว่าเราจะแก่ แต่คิดว่าถ้าเราอยู่ เราจะใช้ชีวิตในแต่ละช่วงอย่างไร สุขภาพกับเงินทองเป็นเรื่องใหญ่ เพราะของอย่างนี้ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ สร้างแล้วจะมีเลย อย่างเงิน ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ จะมีออม เพราะระหว่างทางก็จะมีเหตุการณ์สำคัญในชีวิตเกิดขึ้นที่เราต้องเอาเงินนั้นมาใช้ อย่างมีโควิด มีอุบัติเหตุ เรื่องทักษะการใช้ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ แต่สังคมยังไม่ค่อยตื่นตัว
“ในส่วนของรัฐบาล ให้การดูแลผู้สูงอายุในลักษณะประคับประคองดูแลผู้ที่เขาลำบาก ทุกวันนี้รัฐบาลใช้เงินประมาณ 8 หมื่นล้านต่อปี ในการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งก็ต้องดูแลกัน แต่มันก็ไม่ได้มากถึงขั้นจะทำให้ทุกคนอยู่อย่างสุขสบายได้อยู่ดี เราจึงอยากให้คนยุคปัจจุบันที่ยังมีแรง ที่ยังทำงานได้อยู่ วางแผนสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตของตัวเอง ระหว่างทางรัฐก็เน้นเรื่องของการดูแลสวัสดิการเรื่องความเจ็บป่วย เรามีระบบประกันสุขภาพที่ดี ครอบคลุมหลายโรค เรามี อสม. มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องมาแออัดในเมือง และให้ท้องถิ่นมีการบริหารจัดการดูแลผู้สูงอายุ เช่น จัดให้มีลานกีฬา ส่งเสริมเด็กในพื้นที่ให้รู้จักดูแลคนแก่ จัดคอมมูนิตี้ให้คนแก่มาพูดคุยกัน รวมตัวช่วยงานสังคม อันนี้ในพื้นที่ต่างจังหวัดเขาทำกันอยู่ เพราะประเทศเรามีแผนพัฒนาผู้สูงอายุแห่งชาติอยู่แล้วค่ะ แต่คนในกรุงเทพฯ อาจจะไม่รู้สึก เพราะชีวิตเราต่างคนต่างอยู่”
เมื่อการเตรียมตัวต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่ยังอยู่ในวัยทำงาน การปลูกฝังก็ต้องเริ่มตั้งแต่วัยเรียน ดร.รัชดา มีมุมมองว่านอกจากจะปรับหลักสูตรวิชาการให้ทันสมัยกับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังต้องสอนทักษะการใช้ชีวิตควบคู่ไปกับทักษะการวางแผนการเงินด้วย
“ทุกวันนี้ระดับมหาวิทยาลัยเราเริ่มปรับหลักสูตรกันแล้วนะคะ ไม่ใช่ว่าต้องเรียนอัดทุกวิชาแล้ว แต่จะให้เรียนในสิ่งที่เขาสนใจ แล้วให้ไปฝึกงานในชีวิตจริงมากขึ้น ตอนนั้นเขาจะได้รู้จักชีวิตจริง โดยระหว่างที่เรียนอยู่ในโรงเรียนก็ต้องมีวิชา เช่น ทักษะการใช้ชีวิต เพื่อให้รู้ว่าการอยู่ในสังคมไม่ได้อยู่แค่ในตำรา ซึ่งเทรนด์การทำงานของเด็กยุคใหม่จะอยู่ในรูปแบบ Gig Economy คือไม่ทำงานประจำ รับงานเป็นจ๊อบ ๆ มีเสรีภาพในการทำงาน แต่ไม่มีความมั่นคงในชีวิต ฉะนั้นเขาต้องคิดว่าภายใต้รูปแบบการจ้างงานแบบนี้ เราต้องสอนเขาว่าจะสร้างความมั่นคงได้อย่างไร เรื่องทักษะการเงิน วางแผนการเงินมันต้องคู่กันมากับการเรียน เพราะชีวิตมันอยู่ยากถ้าคุณไม่รู้จักวางแผนการเงินค่ะ”
สำหรับ ดร.รัชดา หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าในวัยเด็ก เคยเป็นเจ้าของสถิติว่ายน้ำหลายรายการ เช่น ฟรีสไตล์ 1,500 เมตร 800 เมตร ผีเสื้อ 200 เมตรในวัยเพียง 7 ขวบ และยังมีดีกรีเป็นนักกีฬาเทนนิสทีมเยาวชนไทยด้วย ไปฝึกแคมป์เทนนิสอย่างจริงจังมาระยะหนึ่งด้วย วิธีการเตรียมตัวแก่ในแบบของเธอ จึงเป็นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนอกเหนือจากการวางแผนการเงินที่ทำมาตลอด
“เราเป็นคนที่เตรียมตัวแก่และเป็นคนไม่กลัวแก่ค่ะ มองภาพตัวเองว่าจะอยู่ไปถึงอายุ 86 ตอนนี้ 46 ก็มีเวลาอีก 40 ปี มันมีเวลาอีกยาวมากในการใช้ชีวิต เพราะฉะนั้นก็มีความรู้สึกว่าอยากสวยแบบวัย 50 ปี พออายุ 60 ก็อยากเป็นแชมป์กีฬาว่ายน้ำ เราไม่ได้รีบ ตอนนี้ใครเก่งใครหุ่นดีก็ไปก่อนเลย ฉันอยากหุ่นดีแบบสาววัย 50 ซึ่งมันก็ไม่ได้ต้องสวยแบบเอวเอสเป็นกล้าม ฉันสวยในแบบของฉัน แล้วก็อยากให้เพื่อนๆ ที่อ่านรู้สึกว่า ชีวิตมีความหวัง เราดูดีและประสบความสำเร็จได้ในทุกช่วงวัย ที่ผ่านมาถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่โดดเด่น ก็อย่าไปท้อแท้ ชีวิตยังอีกยาวมีโอกาสให้เราได้ทำอะไรอีกมากมาย แต่ที่สำคัญเราต้องมีเงินก่อนนะ เก็บเงินเก็บทองแล้วเราจะได้ใช้ชีวิตในวิถีของเรา
“เรื่องของการดูแลสุขภาพ ชอบว่ายน้ำกับกระโดดเชือกค่ะ โชคดีที่บ้านอยู่ใกล้สระว่ายน้ำ ก็เลยง่ายหน่อย ส่วนกระโดดเชือก เป็นกีฬาที่ดีมากเลยนะ หนึ่ง ประหยัดเงินใช้แค่เชือกเส้นเดียว สอง ใช้เวลานิดเดียวเหงื่อพลั่กแล้ว ถ้าอยากลดน้ำหนักมันเบิร์นแคลอรีได้เยอะมาก ถ้ามีเวลาน้อยหรือฝนตก ทำอะไรนอกบ้านไม่ได้ก็กระโดดเชือกที่โรงจอดรถ บางคนอาจรู้สึกว่ามันยาก แต่ถ้าได้ฝึกมันจะสนุก เราเริ่มจาก 10 นาทีก็เหนื่อยจะแย่ พัฒนามาได้ถึงครึ่งชั่วโมง ความสุขของเราคือการที่ได้เห็นพัฒนาการของตัวเองที่ดีขึ้น
“เรื่องนี้อาจจะเป็นนิสัยที่ได้มาจากตอนเด็กๆ ที่เราเป็นนักกีฬา เราแข่งกับตัวเอง นักกีฬาคือแข่งกับตัวเองนะ เราไม่ไปโทษคู่แข่ง เราทำได้ดีขึ้นคือสำเร็จ ถ้าคู่แข่งเขาเก่งกว่าเราก็ต้องยอมรับ ทุกวันตั้งเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ เช่น วันนี้จะต้องอ่านหนังสือกี่หน้า ต้องออกกำลังกายกี่นาที เป้าหมายแค่นี้ถ้าทำได้ก็มีความสุขแล้ว ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร หรือบางวันก็เดินเล่นกับน้องหมา ไม่ก็ขี่จักรยาน จะหาจังหวะที่ให้เราได้เบิร์นแคลอรีตลอดเวลา ชอบเวลาที่ทำให้หัวใจมันเต้นเร็วขึ้น วัยนี้เราไม่ได้หวังให้มีกล้ามสวยแบบดาราขอดูแข็งแรง คล่องแคล่ว ถ้าเราได้ขยับให้เป็นกิจจะลักษณะ ให้เป็นนิสัย มันเป็นสิ่งดีและเพียงพอค่ะ”