counters
hisoparty

Venice... Again &Again

2 years ago

           มีไม่กี่เมืองในโลกนี้หรอกที่จะเที่ยวแบบซ้ำไปซ้ำมาได้ เวนิส (Venice) คือหนึ่งในนั้น

           ไม่น่าเชื่อว่า แม้อิตาลีจะเป็นชาติแรกๆ ในยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงแรกเริ่ม แต่หากกลับไปสำรวจเวนิสในช่วงนี้ก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะนักท่องเที่ยวยังคงคึกคัก จนดูราวกับว่าโควิดทำอะไรเวนิสไม่ได้เลย

           เพราะเวนิสก็ยังคงเป็นเวนิสอยู่วันยันค่ำ มีความแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ในอิตาลี เวนิสมีคลองเป็นร้อย เวนิสมีสะพานข้ามคลองหลายร้อย เวนิสมีเรือกอนโดลา เวนิสจึงมีเสน่ห์เฉพาะตัวแบบที่เมืองอื่นไม่มี

           อาจไม่ถึงขั้นคว้าแชมป์ เมืองที่เป็นสุดยอดแห่งความโรแมนติกของยุโรป แต่ถ้ามีการสำรวจขึ้นเมื่อไหร่เวนิสไม่มีทางหลุดโผเมืองโรแมนซ์ในดินแดนยุโรปแน่นอน

           เวนิสทำให้อิตาลีเป็นเหมือนรองเท้าบูททรงสวย จนใครๆ ก็อยากลองสวมรองเท้าคู่นี้ และเมื่อใครได้ลอง เป็นต้องถูกใจรองเท้าบูทคู่นี้ เพราะไม่ใช่สวยอย่างเดียว แต่หนังนิ่มใส่สบายเหลือเกิน

           นี่คือเวนิส ไม่ใช่แค่สวย แต่เสน่ห์ร้ายกาจ ข้อสำคัญหล่อนไม่น่าเบื่อ จนทำเอานักเดินทางตกหลุมรักมานับไม่ถ้วน หลายคนมาแล้ว จึงหวนกลับมาหาเวนิสอยู่บ่อยๆ

           เมืองบางเมือง เที่ยวแค่ครั้งเดียวก็จบ เป็นอันปิดอัลบั้ม ชีวิตนี้ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีกก็ได้ แต่คนมาเที่ยวเวนิสไม่ได้เป็นอย่างนั้น แค่เห็นกันครั้งแรกเวนิสก็เหมือนญาติ ที่เมื่อมาถึงยุโรป แล้วต้องแวะมาเยี่ยมเยียนสารทุกข์สุกดิบกันเป็นประจำ

           อย่างที่บอกไป ว่าแม้โควิด-19 ยังไม่บอกลาโลกใบนี้แต่ซอกซอยแคบๆ ของเวนิสยังแน่นไปด้วยนักเดินทางทุกตรอกทุกถนนโรยไว้ด้วยเสน่ห์ นี่ขนาดเกาะจมน้ำไปจนเหลือไว้ให้ชาวโลกดูแค่ไม่กี่เกาะนะ ถ้าเวนิสมีเกือบ 500 เกาะมีเรือกอนโดลาเกือบ 3 หมื่นลำเหมือนเมื่อพันปีก่อน ป่านนี้รัฐบาลอิตาลีคงรวยน่าดู เพราะคงมีคนแห่แหนมาเที่ยวกันเยอะกว่านี้

           พูดถึงเรื่องเกาะ ตอนนี้อาจจะเหลือแค่ไม่กี่สิบเกาะ แต่โดยมากนอกจากเวนิส คนจะรู้จักกันอยู่แค่ 2-3 เกาะ ที่จริงรายรอบเวนิสยังมีเกาะที่น่าเที่ยวอีกเยอะมาก ที่ดังๆ หน่อยก็มีเกาะมูราโนที่มีไว้ให้คนโปรดปรานพวกเครื่องแก้วไปดูสาธิตการเป่าแก้วแบบต้นตำรับกัน ส่วนพวกที่ชอบงานฝีมือเย็บปักถักร้อย ทำผ้าม่าน ผ้าลูกไม้ ไปเกาะบูราโนน่าจะเหมาะ คู่ฮันนีมูนฮิตไปจิบน้ำผึ้งพระจันทร์กันที่เกาะซานฟรานเชสโกแล้วนั่งเรือมาจิบคาปูชิโนที่เวนิส แต่ถ้าหาที่นอนให้แดดละเลงผิว ต้องไปเกาะลิโด

           เรือกอนโดลายังคงเนิบไหลไปตามลำคลองแคบๆ กว่า 100 สาย ก่อนจะไปบรรจบกันที่เส้นเลือดใหญ่อย่างแกรนด์ แคแนล เสียงเพลงที่เปล่งจากลำคอของชายผู้ทำหน้าที่คัดท้ายเรือลอยล่องอยู่ในอากาศ คนร้องท่าทางจะมีความสุข แต่คนฟังอมยิ้มให้กับอากาศที่ห่มไว้ด้วยความสุนทรีย์

           นั่นแหละเสน่ห์ของเวนิส เมืองที่ไม่ได้มีถนนไว้สำหรับรถยนต์ แต่มีถนนไว้รอคอยการเหยียบย่างของผู้คน เมืองที่มีลำคลอง กอนโดลา โบสถ์ จัตุรัส และสะพานหลอมรวมเป็นจิตวิญญาณของเมือง

           เมื่อมาถึงที่นี่ทุกคนต้องไปที่จัตุรัสซาน มาร์โค (Piazza San Macro) หัวใจของเวนิสขยับเต้นอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ยังคงขยับเต้นโครมครามเหมือนเช่นเคย ด้วยคลื่นคนที่มาห้อมล้อมอยู่ด้านหน้าโบสถ์ซาน มาร์โค หรือโบสถ์เซนต์ มาร์ก (St. Mark’s Basilica) เยอะกว่าก่อนช่วงโควิดเสียด้วยซ้ำ

           ผู้คนพากันมาทอดสายตามองความโอ่อ่าสง่างามของโบสถ์ ดูความภูมิฐานของระเบียงยาวของอาคารโบราณที่โอบล้อมจัตุรัส ฟังเสียงดนตรีปลิวอยู่ในสายลม ละเลียดจิบความละเมียดละไมของบรรยากาศตามคาเฟ่ริมจัตุรัสบ้างกำลังหยอกเอินกับฝูงนกพิราบอย่างเพลินใจ

           หนังสือบางเล่มถอดความจากปากนโปเลียนที่เอื้อนเอ่ยถึงจัตุรัสแห่งนี้ว่า ที่นี่คือห้องรับแขกที่วิจิตรที่สุดของยุโรป บางเล่มก็บอกนโปเลียนยกให้เป็นห้องเขียนหนังสือที่ดีที่สุดของยุโรป

           รูปปั้นม้าศึกที่อยู่ริมระเบียงโบสถ์ซาน มาร์โคยังคงงดงามไม่เคยเปลี่ยน ประตูโค้ง โดมทั้งห้า สิงโตมีปีก และรูปปั้นโมเสก คือมุมที่กล้องนับร้อยนับพันซูมเข้าไปหากลิ่นอายของศิลปะแบบตะวันออกยังคงปกคลุมปราสาทยุค (Doge’s Palace) อย่างไม่พร่าจาง

           ใครที่ตั้งอกตั้งใจมาดูรายละเอียดของโบสถ์ พระราชวัง และจัตุรัสแห่งนี้แบบเจาะลึกจริงๆ มาช่วงเช้าจะเหมาะสุด เพราะจัตุรัสจะว่างโล่ง แต่ถ้ามาถึงบ่ายมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่หัวคนมาผสมผสานกับศิลปะแบบไบเซนไทน์ แต่ถ้ามาค่ำไปเลยก็จะโรแมนติกไปอีกแบบ เพราะแสงไฟที่แต่งแต้มบนโบสถ์ทำให้ซาน มาร์โคดูวับๆ แวมๆ ชวนมอง

           เมื่อมาถึงตรงนี้ ใครๆ ก็เลี้ยวไปหาสะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) จุดที่เชื่อมระหว่างคุกกับจุดประหาร นักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในคุก จะเดินมาสูดกลิ่นหอมของอิสรภาพที่นี่ ถอนหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนจะถูกปลิดชีวิต

           สะพานทั่วทั้งเวนิสมีอยู่ 400 กว่าแห่ง แต่ไม่มีสะพานไหนเจ้าเสน่ห์เท่าสะพานริอัลโต (Rialto) อีกแล้ว ไม่เชื่อลองเงี่ยหูฟังสิ ใครๆ ก็ถามหาทางไปสะพานแห่งนี้ ความที่เป็นสะพานเก่าแก่ที่สุด มีตลาดหลายแห่งและเป็นย่านค้าขายที่คึกคัก

           ข้อสำคัญเป็นมุมถ่ายรูปที่เห็นโค้งเคิร์ฟของแกรนด์แคแนลยามถูกประดับด้วยแก็งค์กอนโดลาที่ดีที่สุดมุมหนึ่งของเวนิสเลยทีเดียว

           เตรียมเงินยูโรเอาไว้เช่ากอนโดลา พาหนะที่จะนำพาคุณไปหาความโรแมนติกทางน้ำ ล่องเลาะไปตามคลองกว่า 100 สายที่คดเคี้ยวไปทั่วเวนิส แต่ถ้าอยากโรแมนติกทางบก ก็ใช้สองเท้าเป็นพาหนะนำคุณเดินย่ำไปตามตรอกและซอกซอยแคบๆ ของเวนิส ทางเดินที่มีไว้เดินจริงๆ ไม่ได้สร้างไว้ให้รถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์มาเป็นเจ้าถนน

           แต่ไม่ว่าจะทางบกหรือทางน้ำ เวนิสก็น่าอภิรมย์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

           และถ้าหากใครมองหามุมแฮงก์เอาท์ในยามค่ำคืนพวกนักท่องเที่ยวชอบอยู่แถว Campo Santa Margherita ใกล้กับมหาวิทยาลัย Ca’ Foscari in Dorsoduro ส่วนอีกย่านหนึ่งที่คึกคักไม่แพ้กันคือ Erbaria อยู่ใกล้กับสะพานริอัลโต

           เอาเป็นว่า ถ้ามีเวลาให้กับเวนิส ลองเดินสะพานข้ามคลองอันคดเคี้ยวของเวนิสที่มีหลายร้อยแห่ง ค่อยๆ ทำความรู้จักกับเวนิสในมุมลับๆ แล้วคุณจะพบว่าที่ใครๆ เรียกเมืองนี้ว่าราชินีแห่งทะเลอะเดรียติก คือเรื่องจริง แล้วคำพูดที่เอื้อนเอ่ยถึงเวนิสว่าเป็นนครในฝันของคนทั้งโลก ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย

Story & Photo By กาญจนา หงษ์ทอง

Tag : venice

SHARE    

SHARE