counters
hisoparty

‘กาญจนบุรี’ เมืองมากประวัติศาสตร์

7 hours ago

         นอกจากภูเก็ต เชียงใหม่ และ สมุย ดูเหมือนกาญจนบุรีเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต่างชาติพากันมุ่งหน้าไปที่นี่ อาจจะเป็นเพราะกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีเรื่องราวในอดีตเกิดขึ้นมากมาย

         อีกทั้ง กาญจนบุรี เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายประเภท ไม่ว่าคุณจะเป็นสายเที่ยวป่า รักธรรมชาติ ชอบกิจกรรมสุดเอ็กซ์ตรีม สายประวัติศาสตร์ หรือสายเที่ยวคาเฟ่ชิคๆ กาญจนบุรีมีพร้อมให้สำหรับทุกคน

         ที่จริงแล้ว กาญจนบุรีเป็นดินแดนแห่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่า พรรณไม้ และน้ำตก ตลอดจนยังมีวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกันด้วยความเอื้อเฟื้อ เห็นอกเห็นใจ และมีความช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นอย่างดี ทั้งไทย พม่า มอญและชาวปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง)
         ยิ่งไปกว่านั้น กาญจนบุรี ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ก่อให้เกิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้มีอนุสรณ์สถานจำนวนมากปรากฏไว้เป็นหลักฐานอาทิ สะพานข้ามแม่น้ำแคว สุสานทหารสัมพันธมิตร หรือจะเป็นพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด เป็นต้น
         ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ กาญจนบุรีเป็นอีกจุดหมายหนึ่งที่นักท่องเที่ยวปรารถนาจะไปเยือน

‘สะพานข้ามแม่น้ำแคว’ แลนด์มาร์กของที่นี่
         เมื่อมาถึง กาญจนบุรี หนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่
ทุกคนนึกถึงเป็นลำดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นคือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว ทางรถไฟที่ทอดตัวยาวข้ามแม่น้ำประมาณ 300 เมตร เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของเมืองกาญจน์เลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นรถไฟสายประวัติศาสตร์ของโลกในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2อีกด้วย
         สะพานข้ามแม่น้ำแควสร้างโดยหยาดเหงื่อแรงงาน รวมทั้งชีวิตของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรนับหมื่นคน เพื่อให้ได้มาซึ่งทางรถไฟที่มีความยาวถึง 415 กิโลเมตร สำหรับใช้ลำเลียงอาวุธ และกำลังพลของญี่ปุ่น เพื่อไปโจมตีเมียนมาและอินเดีย
         สะพานแม่น้ำแควเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2486 และต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2487 สะพานข้ามแม่น้ำแควถูกทหารสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศโดยการทิ้งระเบิดอย่างหนักจนสะพานหักท่อนกลาง และต่อมาญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2488
        ในปัจจุบันสะพานข้ามแม่น้ำแควได้รับการปรับปรุง และซ่อมแซมแทนที่ของเดิมที่ถูกทหารฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศนับ 10 ครั้งระหว่างสงคราม และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองกาญจนบุรี ไฮไลต์ในการมาเที่ยวที่นี่คือ การเดินบนรางรถไฟบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งมีระยะทาง 300 เมตร เป็นจุดถ่ายรูป และเป็นจุดชมวิวแม่น้ำแควอีกด้วย
        และในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี ยังมีงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกัน

นอนฟังเสียงน้ำบน ’แพริมน้ำกาญจนบุรี’
        กิจกรรมสุดคลาสสิกที่ใครๆ ที่มากาญจนบุรีควรทำคือ หาแพริมน้ำแล้วนอนฟังเสียงสายน้ำ ทั้งชิลล์ทั้งรื่นรมย์ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะทั่วทั้งกาญจนบุรีมีแพให้เลือกพักเยอะมาก
        การนอนบนแพริมแม่น้ำแควจะทำให้คุณได้สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะแม่น้ำสายนี้เป็นต้นกำเนิดของการล่องแพทั่วประเทศไทย นอกจากธรรมชาติของแม่น้ำแควน้อยที่สวยงาม พฤกษ์พันธุ์ไม้ตามธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์และเขียวชอุ่มให้คุณได้เพลิดเพลินตามการนั่งบนแพ ประกอบกับทัศนียภาพของสะพานรถไฟสายประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
        อย่างที่บอกว่า มีแพให้เลือกพักเยอะมาก แต่หากจะเลือกที่พักแบบสะดวกสบาย ขอแนะนำ The Float House River Kwai ที่พักที่มีคอนเซปต์ ‘ให้ผืนป่าและสายน้ำ ดูแลวันพักผ่อนของคุณ’ นี่คือแพบูติครีสอร์ทลอยน้ำท่ามกลางขุนเขา ที่จะทำให้การใช้ชีวิตของเราช้าลง ใกล้ชิดธรรมชาติเพิ่มขึ้น ให้เวลากับตัวเองมากขึ้น
        ยังมีที่ River Kwai Jungle Rafts Floating Hotel ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติใจกลางของป่าเขียวขจีริมแม่น้ำแควของกาญจนบุรี ที่นี่มีความชิลแบบสุดๆ เงียบสงบเป็นส่วนตัว ด้วยคอนเซ็ปต์ Eco ท่ามกลางธรรมชาติทำให้ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า จะอาศัยการจุดตะเกียงในตอนกลางคืน แต่อากาศก็เย็นสบายๆ เพราะอยู่ริมน้ำ ห้องพักก็ตกแต่งมาในสไตล์ Eco
        ส่วนที่ Cross River Kwai ที่พักแพริมน้ำ บรรยากาศดีมากๆ เหมาะสำหรับการไปพักผ่อน ตัวรีสอร์ทถูกออกแบบ และตกแต่งให้คล้ายกับขบวนรถไฟเป็นกิมมิกน่ารักๆ ที่เชื่อมกับประวัติศาสตร์ของจังหวัดกาญจนบุรี
        ลองไปนอนอิงแอบแนบสายน้ำซักคืน แล้วจะกลับกรุงเทพด้วยรอยยิ้ม

ดื่มด่ำสายน้ำตก
        หากนึกถึงน้ำตกที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำสีสวยและใสจนมองเห็นปลาที่กาญจนบุรี ต้องนึกถึง ‘น้ำตกเอราวัณ‘ ที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ เดิมน้ำตกนี้มีชื่อว่า น้ำตกสะด่องม่องล่าย เพราะต้นน้ำเกิดจากลำห้วยม่องล่าย  ไหลผ่านหน้าผา และชั้นหินต่างๆ มีทั้งหมด 7 ชั้น เป็นระยะทางประมาณ 1,500 เมตร
        แต่ละชั้นมีชื่อเฉพาะและมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป โดยเมื่อน้ำตกไหลบ่าผ่านหน้าผาเหนือน้ำตกชั้นที่ 7 จะมีลักษณะคล้ายเศียรช้าง 3 เศียร หรือที่เรียกว่า ‘ช้างเอราวัณ’ จึงเป็นที่มาของชื่อ น้ำตกและอุทยานแห่งชาติเอราวัณ นั่นเอง
        นอกจากนี้ยังมีน้ำตกไทรโยค ซึ่งนอกจากที่นี่จะเป็นน้ำตกขึ้นชื่อของเมืองกาญจน์แล้ว ยังมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้เสด็จประพาสน้ำตกไทรโยค และได้ลงสรงน้ำในธารน้ำอันเย็นฉ่ำภายใต้ร่มเงาแห่งแมกไม้ของป่าใหญ่ถึงสองครั้ง
        น้ำตกนี้เป็นน้ำตกสวยงามร่มรื่น โดยมีน้ำมากในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว แต่ช่วงฤดูร้อนน้ำตกจะมีน้ำน้อยถึงน้อยมาก โดยรอบน้ำตกมีร่มเงาของพันธุ์ไม้นานาชนิด ในลำธารมีต้นกกขึ้นอยู่กระจัดกระจาย นับเป็นบรรยากาศที่ชวนให้ไปสัมผัสอีกแห่งหนึ่ง
        ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วจะรู้ว่า กาญจนบุรีเป็นจังหวัดมองข้ามไม่ได้เลย...

 

SHARE