นักท่องโลกผู้ไม่อ่อนข้อให้กับการผจญภัย มักมุ่งหน้ามาประเทศนามิเบีย (Namibia) เพราะที่นี่มีทะเลทรายนามิบ (Namib Desert) เป็นสถานที่ในฝันที่ทุกคนหมายมั่นด้วยกันทั้งนั้น
แน่นอนว่า ทะเลทรายนามิบเก่าแก่ และมีเนินทรายสูงชันที่สุดในโลก ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกพากันมุ่งหน้ามาที่นี่ เพื่อมาปีนไปบนสันทรายที่สูงกว่า 300 เมตรภายในอุทยานแห่งชาตินามิบ-นอคลัฟท์ (Namib Nakluf National Park)
ระหว่างทางที่ไปเขตอุทยานแห่งชาตินามิบ-น็อคลัฟท์ มีสัตว์นานาชนิดที่ยืนหากินอยู่ตลอดสองข้างทาง ความจริงแค่วิวทิวทัศน์ก็เพลิดเพลินเจริญวิวแล้ว
เรื่องแห้งแล้งก็จริงอยู่ แต่ถนนที่พาดผ่านทุ่งแล้ง คดเคี้ยวไปบนเทือกเขาสูง บางช่วงผ่าน โตรกผา และหุบเขา ก็งดงามตามธรรมชาติในแบบของมัน บางโค้งมองลงไปในหุบเหมือนแคนยอน สวยงามอย่างมีมิติ
แต่ถึงภูมิทัศน์โดยรวมจะดูแห้งแล้ง บางช่วงรถยังคงวิ่งผ่านแม่น้ำเซาชับ (Tsauchab River) ที่ยังคงมีสายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตพืชและสัตว์ในแถบนี้
พวกสัตว์ป่าที่อยู่ในแถบแอฟริกา จำพวกสปริงบ็อค อิมพาลา คูดู ม้าลาย นกกระจอกเทศ มีให้เห็นเป็นระยะ และมีให้ดูได้ตลอดทาง ถ้าโชคดีอาจจะเจอทั้งยีราฟ สิงโต
สำหรับคนที่จะมาเที่ยว และเห็นทุรกันดารแบบนี้ อย่าคิดว่าต้องไปนอนกลางดินกินกลางทราย เพราะหน้าปากทางเข้าอุทยานมีโรงแรมเก๋ๆ และแนวบูทีคให้เลือกพักหลายแห่ง แต่ละแห่งจะทำเป็นเต้นท์ติดแอร์อย่างหรูหรา เรือนพักกลางทะเลทรายแบบนี้มีทุกอย่างที่โรงแรมห้าดาวมี แถมไม่ใช่ห้าดาวซะด้วย เพราะเมื่อราตรีเดินทางมาถึง กลายเป็นโรงแรมล้านดาวเลย
ในรุ่งเช้ากลางทะเลทราย แขกเหรื่อทุกคนที่จะเข้าอุทยานถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้า แค่ขึ้นไปยืนบนหอคอยของเรือนพักก็รู้ถึงเหตุผลทันที เพราะรถที่บรรทุกนักท่องเที่ยวจะพากันไปต่อคิวเพื่อเข้าอุทยานกันตั้งแต่เช้าตรู่ เขาว่าเข้าไปสายนักอาจไม่เห็นสัตว์ทะเลทรายที่ออกมาหากิน
ดวงตะวันค่อยๆ โผล่ขึ้นเหนือเนินทรายอย่างอ้อยอิ่ง บางช่วงที่รถวิ่งผ่าน จะสังเกตเห็นว่าในเขตพื้นที่ทะเลทรายช่างน่าประหลาดดีแท้ ต้นไม้ไม่ใช่น้อยที่ขาดน้ำจนเสียชีวิต ทิ้งไว้เพียงแค่กิ่งก้านอันไร้ใบแผ่ร่างไว้อย่างเปลี่ยวเหงา จะเรียกว่า ยืนต้นตายก็ได้ เพราะเหลือเพียงลำต้นตั้งตระหง่านแต่ไร้ชีวิต
ส่วนอีกจำพวกกลับเป็นพืชทะเลทรายที่ใช้ชีวิตอยู่กลางทุ่งร้อนแล้งได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาเรียกพวกนี้ว่าต้นไม้พันปี และที่ยังใช้ชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเกิดจากการที่เมื่อกระแสลมร้อนจากทะเลทรายพัดไปปะทะกับลมเย็นที่หอบมาจากมหาสมุทรแอตแลนติก ช่วงรุ่งเช้าจะเกิดเป็นละอองน้ำและหมอก หล่อเลี้ยงชีวิตพืชพันธ์อึดเหล่านี้เอาไว้ได้
จากปากทางเข้าอุทยาน รถวิ่งมาได้ราวๆชั่วโมงกว่า ก็ถึงจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องสละรถยนต์ส่วนตัวไว้ที่จุดพักรถ หลังจากนี้จะโดยสารเข้าไปข้างในได้ด้วยรถของทางอุทยานเท่านั้น
สภาพและหน้าตาเดียวกับรถที่เขาใช้ท่องป่าซาฟารีกันในแถบนี้ จากนี้ไปเกาะกันให้แน่นๆ เพราะรถโขยกเขยกชนิดที่ว่าไม่มีระยะพักให้ตับไตไส้พุงได้จัดระเบียบเลยซักวินาทีเดียว
นั่งตับไตไส้ม้ามกระฉอกมาจนถึงจุดเดินเท้า เป็นอันว่าสิ้นสุดการเขย่าแต่เพียงเท่านี้ จากนี้ไปจะเป็นการสู้รบกับแสงแดด ที่ไม่ยอมลดราวาศอกให้มนุษย์ใต้แผ่นฟ้าเลยแม้แต่คนเดียว
ที่นี่คือสันทรายที่สูงที่สุดในโลก สูง 326 เมตร คิดดูสิ ดูนสูงที่สุดของซะฮารายังสูงแค่ 180 กว่าเมตรเท่านั้น จากนี้ไปไกด์จะปล่อยให้ทุกคนสนุกกับการเดินปีนสันทรายแห่งนี้
แดดเผ็ดร้อนแบบนี้ ต่อให้โปะเอสพีเอฟ 70 มายังเอาไม่อยู่เลย ผู้หญิงหลายคนถึงกับยอมยกธงขาว ขอยืนชายตามองสันทรายอยู่ห่างๆ ใครที่ปวารณาตัวเป็นสาวกลัทธิบูชาแสงแดด ทำพิธีห่อร่างสร้างชายคาให้ตัวเองด้วยผ้าผวยผืนย่อมๆ เป็นไงเป็นกัน หน้าพังเพราะทะเลทรายนามิบค่อยกลับไปบูรณปฏิสังขรณ์กันทีหลัง
บอกไว้ก่อนสำหรับใครที่วางแผนจะมาเที่ยวที่นี่ น่าจะสวมใส่เสื้อผ้าเบาสบายดีที่สุด เพราะอากาศร้อนมาก และบางทีแค่หมวกยังอาจไม่พอ อาจต้องเตรียมผ้ามาโพกและคลุมอีกตลบ ครีมกันแดดนี่ต้องเน้นว่าโบกมาทั้งหน้าทั้งตัวเลย เลือกที่มีประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากรังสียูวีบีสูงๆ หน่อย
และที่ขาดไม่ได้อย่างยิ่งคือแว่นกันแดด ที่นอกจากจะกันแสงแดดอันเผ็ดร้อนได้แล้วยังกันเม็ดทรายที่ปลิวมาตามลมได้ด้วย ส่วนรองเท้าใส่เป็นรองเท้าผ้าใบที่ระบายความร้อนได้ดีและมีน้ำหนักเบาจะเหมาะกว่า ไม่ต้องหารองเท้ากันทราย เพราะถึงยังไงทรายก็เล็ดรอดเข้ารองเท้าได้อยู่ดี
และเมื่อย่ำเม็ดทรายไปตามรอยเท้าของนักท่องทะเลทราย ก็จะพบว่าเป็นการเดินที่ไม่ง่ายเอาซะเลย เพราะทรายดูดเท้าแน่นจนในรองเท้าอัดแน่นไปด้วยเม็ดทราย ยิ่งเป็นสันทรายที่สูงชันด้วยแล้ว ทำให้การไต่ขึ้นไปพิชิตบนจุดสูงสุดไม่ง่ายอย่างที่คิด
เมื่อมองจากบนจุดสูงสุดของเนินทราย นอกจากจะมองเห็นเนินทรายสีแดงอมส้มอยู่รายรอบตัวแล้ว ยังมองเห็นแอ่งสีขาว ที่เขาเรียกกันว่าบึงเกลืออีกด้วย บริเวณนี้นี่เองที่เรียกกันว่า ซอสซุสฟลาย (Sossusvlei) บางช่วงแอ่งนี้มีน้ำไหลมาจากแม่น้ำเซาชับ พวกสัตว์นานาชนิดจะมาปาร์ตี้กันแถวนี้ แต่พอน้ำระเหิดไปพื้นที่ตรงนี้ก็จะกลายเป็นเกลือ
ใครที่ไต่ขึ้นไปยืนบนนี้ได้ ก็จะถูกห่มด้วยเปลวแดดเหนือทะเลทรายเก่าแก่ที่สุดในโลกที่คะเนอายุอานามกันว่าต้องมีไม่ต่ำกว่า 55 ล้านปี หรืออย่างมากสุดก็ 400 ล้านปี
นี่จะเป็นอีกครั้งของชีวิตของนักเดินทางทุกคน ที่ระดับระดับความร้อนอาจะพุ่งทะยานแต่ระดับความสุขก็พุ่งถึงขีดสุดตีคู่กันไป
Story & Photo By กาญจนา หงษ์ทอง