counters
hisoparty

Classy...Ljubljana

4 years ago

                ไม่ใช่ทุกเมืองในยุโรปที่จะมีความสวยคลาสสิก นอกจากปราก บูดาเปสท์ ซาราเยโว ยังมีอีกเมืองหนึ่งที่นอกจากสวยคลาสสิคแล้วยังมีความน่ารัก โรแมนติก เป็นส่วนผสมของเมืองด้วย ที่นั่นคือ ‘ลูบลิยานา’ (Ljubljana) เมืองหลวงของ สโลวีเนีย (Slovenia)
                นี่คือประเทศที่ขนาดเล็กกว่าไทยถึง 25 เท่า แต่น้ำหนักของความงามแทบไม่ด้อยกว่า

                หากเป็นเมื่อก่อน นักเดินทางคนไหนที่หวังจะได้สัมผัสสโลวีเนียต้องยอมจ่ายค่าวีซ่ากันอยู่หลายพันบาท แต่วันนี้แค่มีวีซ่าเชงเก้นประทับอยู่ในพาสปอร์ตก็ได้เห็นสโลวีเนียอย่างเต็มตา
                นักท่องโลกส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกเวียนนาเป็นประตูไปหาลูบลิยานา จากเวียนนาถ้านั่งรถไฟยุโรปไปหาลูบลิยานาใช้เวลาราว 5 ชั่วโมงกว่า

                เมื่อมาถึงลูบลิยานา นักเดินทางทุกคนที่มาถึงจะถูกต้อนรับด้วยแสงแดดอันอุ่นอ่อน เสียงหัวเราะของผู้คน เสียงชนแก้ว เพลงจังหวะบอสซาที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม และเครื่องดื่มเย็นๆ ทำให้คาเฟ่ริมจัตุรัสแทบไม่มีเก้าอี้ว่าง
                คนที่ได้ทำความรู้จักกับลูบลิยานาจึงมักเคลิ้มไหวกับอารมณ์ละเมียดละไมของที่นี่ มาถึงเมืองนี้ถึงแม้จะเป็นเมืองหลวง แต่ลองใช้ชีวิตเนิบช้าแฮงก์เอาท์ตามคาเฟ่ จิบอะไรเย็นๆ เสร็จแล้วค่อยถอนสมอมาจากย่านคาเฟ่ริมน้ำ บ่ายหน้าไปหาทาวน์ฮอลล์ประจำเมือง
                ที่นี่เป็นอาคารแรกของลูบลิยานา อาคารนี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1474  แต่มารื้อปรับขยับแต่งอีกครั้งตอนปี ค.ศ. 1718  ด้านหน้าเป็นลานน้ำพุที่ใครๆ ก็พากันมายืนเพ่งดูหน้ารูปปั้นที่งดงามแปลกตา

                ไม่ไกลจากจุดนี้เป็นโบสถ์เซนต์ นิโคลัส (Cathedral of St.Nicolas) มุมสงบที่ชาวคริสต์แวะเวียนกันมาเป็นระยะ
                แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเลือกไปเดินทอดอารมณ์ในเมืองเก่าที่อยู่กระเถิบจากทาวน์ฮอลล์ไปอีกด้านหนึ่ง
                สุดทางของเมืองเก่ามีโบสถ์เซนต์เจมส์ (Church os St’James) คอยทุกคนอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา ยามที่แสงจาง แดดลูบลิยานาหุบลง  อุณหภูมิของฤดูใบไม้ผลิค่อยๆ หย่อนตัวลง โบสถ์ที่ขรึมก็ดูเข้มขลัง

                หากใครยังพอมีเวลา ออกจากโบสถ์แล้วลองไปเดินนวยนาดเลาะเลียบไปตามริมแม่น้ำลูเบลียนิกา สอดส่องอิริยาบถของลูบลิยานา
                มาป้วนเปี้ยนแถวนี้แล้วจะได้เห็นฉากรักของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคนจูงหมาออกมาเดินสูดอากาศ สาวสวยบนอานจักรยานคู่ใจ ลูกขี่คอพ่อ ลุงโอบเอวป้า คู่รักหนุ่มสาวที่พรมจูบใส่กันอย่างทะนุถนอม หรือแม้กระทั่งเขากับเขา สองหนุ่มที่เดินจูงมือกันชี้ชวนกันดูความงดงามของลูบลิยานา

                และไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนๆ ลูบลิยานาก็ต้อนรับทุกคนด้วยอากาศเบาสบาย แม้เป็นช่วงซัมเมอร์แดดก็ไม่จัดจ้านเผ็ดร้อนเท่าไหร่ แถมบางทีอาจจะมีปรอยฝนโปรยลงมาประปรายเป็นบางครั้งบางคราว แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะเดินเร่ไปมุมไหนของเมือง ก็จะเห็นดอกไม้บานสะพรั่งที่อยู่ในกระถางหน้าต่างบ้าน นี่แหละเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครๆ ก็หลงรักลูบลิยานา

                ความจริงลูบลิยานาทำให้หลายคนผิดคาดด้วยซ้ำ เพราะหลายคนคิดว่าลูบลิยานาอาจจะเป็นประเภทขรึมๆ ติ๋มๆ เหมือนพวกประเทศคอมมิวนิสต์ เพราะก่อนจะแยกตัวมาเป็นประเทศอิสระอย่างทุกวันนี้ สโลวีเนียเคยเป็น 1 ใน 6 รัฐของประเทศยูโกสลาเวียมาก่อน เพิ่งมาได้รับเอกราชเมื่อ 18 ปีที่ผ่านมานี้เอง
                กว่าจะแยกตัวออกมาได้ สโลวีเนียก็ต้องเจออุปสรรคมานับไม่ถ้วน รอยร้าวในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ไปจนถึงวัฒนธรรมในการใช้ชีวิต นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติระหว่างชาวโครแอท ชาวเซิร์บ และชาวมุสลิม ที่บ่มจนกลายเป็นปัญหาที่สุกงอมรอวันแตกหัก

                จนในที่สุดเมื่อยูโกสลาเวียเดินมาถึงวันที่ถดถอยสุดๆ ชาวสโลวีเนียจึงรวมตัวกันออกมาเรียกร้องเอกราชให้กับพวกเขา
                หลังจากได้รับอิสรภาพอย่างเบ็ดเสร็จ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2004 สโลวีเนียจึงได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ จากนั้นจึงเปลี่ยนจากสกุลเงินโทลาร์มาใช้เงินยูโร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2550

                คงไม่มีมุมไหนในลูบลิยานา ที่จะกระตุกให้ชีวิตกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้ดีเท่าที่จัตุรัสเพรเซเรน (Preseren  Platz) อีกแล้ว
                จากนั้นลองเดินข้ามสะพานเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสะพาน 3 แห่ง (Tripple Bridge) ที่พาดจากฝั่งเมืองเก่าข้ามไปหาจัตุรัสเพรเซเรน ความยาวของสะพานอาจจะสู้สะพานชารล์สในปรากไม่ได้  แต่เรื่องชีวิตชีวานั้นไม่เป็นรอง
                จะเรียกจัตุรัสเพรเซเรนเป็นสะดือเมืองคงไม่ผิด ที่นี่คือจุดนัดพบของผู้คน มุมเมืองที่เป็นใจกลางของถนนหลายแฉก ในเวลาเดียวกันก็เป็นมุมที่หลายคนมีไว้นั่งหย่อนใจ ทอดสายตามองผู้คนที่เคลื่อนผ่านไปมา

                แต่ไม่มีอะไรดึงดูดสายตาผู้คนได้เท่าสีชมพูสดปลั่งสไตล์อาร์ตนูโวของโบสถ์อันนันชิเอชั่น (Church of the Annunciation) ด้านในของโบสถ์อายุ 300 กว่าปีแห่งนี้ซ่อนห้องสมุดโบราณเอาไว้ ใครอยากหาหนังสืออ่านอาจต้องค้นนานหน่อย เพราะที่นี่จุหนังสือไว้ 5 หมื่นกว่าเล่ม 
                รายรอบฐานรูปปั้นริมจัตุรัส คือจุดที่เพื่อนมีไว้นัดเพื่อน หนุ่มมีไว้นัดพบสาว ราวกับว่านี่คือจัตุรัสเวนเซสลาสแห่งกรุงปรากที่จำลองไว้ในลูบลิยานา ต่างกันที่ รูปปั้นบนม้าที่ปรากคือกษัติริย์ผู้กล้าอย่างเซนต์เวนเซสลาส หากแต่ที่นี่คือกวีอันโด่งดังของสโลวีเนียที่ชื่อเพรเซเรน

                ลูบลิยานาเล็กขนาดที่นักเดินทางบางคนบอกว่าเที่ยวแค่ 2 ชั่วโมงก็หมด แต่หากเดินอ้อยอิ่งเนิบนาบอาจต้องใช้เวลา 2 วัน เพราะถึงจะเป็นเมืองเล็กแต่รายละเอียดเยอะ
                ยังมีปราสาทลูบลิยานา ที่คนมาถึงลูบลิยานาแล้วก็อยากจะขึ้นไปชม นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกประหยัดเหงื่อและเวลา ด้วยการเลือกจ่ายคนละไม่กี่ยูโร เพื่อขึ้นเคเบิ้ลคาร์ที่อยู่ใกล้โบสถ์เซนต์นิโคลัสขึ้นไปหาปราสาท

                แต่หากใครที่ต้องการออกกำลัง ก็สามารถเดินเท้าลัดเลาะไต่ขึ้นเขาไปหาปราสาทลูบลิยานาได้เหมือนกัน
                ปราสาทเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ทอดตัวอยู่เนินเขาที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งเป็นไปตามคอนเซ็ปท์ของการสร้างเมืองในอดีต ที่ต้องสร้างปราสาทราชวังเอาไว้บนเขาสูง เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก อาจจะเป็นปราสาทที่มีความสวยอยู่เบาบาง แต่หากมายืนอยู่บนนี้แล้วกวาดสายตามองลงไปข้างล่าง นั่นต่างหากที่เป็นเสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้

Story & Photo By กาญจนา หงษ์ทอง

SHARE