
ถ้าไอซ์แลนด์ทำให้คุณเริ่มชินกับวิว หมู่เกาะโลโฟเทนก็คนเริ่มเยอะขึ้น ลองมุ่งหน้าไปหาหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) ที่ๆ จะทำให้คุณรู้สึกว่าธรรมชาติบนโลกนี้ช่างผุดผ่องเสียเหลือเกิน เมื่อรอบตัวคือพื้นที่สีเขียวท่ามกลางแลนด์สเคประดับเวิลด์คลาส ตามมาดูกันว่า ถ้าดั้นด้นไปถึงหมู่เกาะแฟโรทั้งที มีที่ไหนบ้างที่อยู่ในหมวดจำเป็นต้องไป

รู้จักหมู่เกาะแฟโรกันก่อน
หมู่เกาะแฟโรเป็นเขตการปกครองตนเองของเดนมาร์ก ที่กลุ่มของเกาะ 18 เกาะ ตั้งอยู่นอกชายฝั่งภูมิภาคยุโรปเหนือ ระหว่างทะเลนอร์วีเจียนและมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ นี่คืออีกหนึ่งเกาะที่อยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวจึงหนาวมาก ใครมาช่วงนี้ก็มีโอกาสได้เห็นแสงเหนือ และถึงแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อนอากาศก็ยังคงเย็นๆ อยู่ และท้องฟ้าแจ่มใส
และเมื่อมาถึงที่นี่ สิ่งที่ทุกคนจะเจอมากกว่าคนคือแกะ เพราะหมู่เกาะแฟโรเป็นเกาะที่มีแกะเยอะกว่าคน ทั้งเกาะมีคนอาศัยอยู่ประมาณ 5 หมื่นคน แต่มีประชากรแกะมากกว่า 7 หมื่นตัว ส่วนเรื่องวิวทิวทัศน์โดยรวมไม่ต้องพูดถึง ที่นี่มีทั้งหุบเขา หน้าผา ทะเล น้ำตก ทุ่งหญ้า


บ้านมุงหลังคาหญ้า
บางคนอาจจะคิดว่าสัญลักษณ์ของหมู่เกาะแฟโรคือแกะ แต่ถ้าได้เดินทางไปให้ทั่วจะพบว่าบ้านหลังคาหญ้าน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ หลังคาจะมีชั้นวัสดุพื้นฐาน เช่น ไม้ หรือแผ่นกันซึม แล้ววางดินหรือหญ้าทับ ชั้นดินจะเป็นแผ่นหญ้าที่ตัดมาจากทุ่งหญ้าแล้ววางซ้อนกันเป็นชั้นๆ หญ้าที่อยู่บนหลังคานี้จะเติบโตราวชั้นดิน ทำให้หลังคานั้นกลมกลืนกับภูมิทัศน์ธรรมชาติ ซึ่งมักใช้กับบ้านโครงสร้างไม้ หรือบางทีก็ผสมผสานกับหิน
ซึ่งดินและหญ้าเป็นฉนวนธรรมชาติ ทำให้บ้านอบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นในฤดูร้อน และบ้านในแฟโรต้องเผชิญกับฝน ลม และอากาศชื้นอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นเกาะกลางมหาสมุทร หลังคาหญ้าช่วยซึมซับน้ำและลดแรงตกกระทบของฝน นอกจากนี้ หลังคาหญ้าทำให้บ้านกลมกลืนกับภูมิประเทศ เขียวชอุ่มในฤดูร้อน กลายเป็นโทนสีเอิร์ธโทนในฤดูหนาว อีกอย่างเป็นการใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ดิน หญ้า ไม้ ทำให้ลดการนำเข้าวัสดุ และซ่อมแซมได้ง่าย
ข้อสำคัญยังมีความเชื่อและแนวคิดเกี่ยวกับหลังคาหญ้าว่าเป็นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เพราะในวัฒนธรรมของชาวนอร์ดิกและแฟโร เชื่อว่ามนุษย์ควรอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่ใช่เอาชนะธรรมชาติ การใช้หญ้าหรือดินจากผืนดินที่ตนอยู่ มาปกคลุมบ้าน เป็นการ ‘ยืมธรรมชาติมาใช้อย่างเคารพ’ และคืนกลับไปเมื่อหมดอายุการใช้งาน
รวมถึงยังมีความเชื่อทางจิตวิญญาณบางอย่างว่า บ้านที่กลมกลืนกับภูมิประเทศ จะปลอดภัยจากภัยพิบัติ และสิ่งชั่วร้ายจากภายนอก ผู้สูงอายุที่เป็นคนท้องถิ่นจำนวนมากยังเชื่อว่า บ้านที่มีหลังคาหญ้าคือบ้านที่มั่นคง แข็งแรง และมีพลังชีวิต เป็นมรดกตกทอดที่สะท้อนถึงความอดทน ความเรียบง่าย และความพอเพียง

เที่ยวเมืองหลวง Tórshavn
หมู่เกาะแฟโรมีเมืองหลวงที่ชื่อว่า ทอร์สเฮาน์ (Tórshavn) มีเขตเมืองเก่าซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภาเก่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในย่านเมืองเก่าเต็มไปด้วยบ้านไม้ดั้งเดิมที่มีหลังคาหญ้า ตัวอาคารและบ้านมีสีสันสดใส หากมีเวลาลองเดินลัดเลาะไปตามตรอกเล็กๆ ที่ปูด้วยหิน
อาจจะเป็นเมืองหลวงไซซ์เล็ก เงียบ สงบ มีด้านหน้าอ่าวที่มีเรือจอดอยู่แน่นขนัด ผู้คนมาเดินเล่นกินลมชมวิวกัน รวมถึงยังมีทั้งพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร ร้านรวงที่เปิดให้ผู้คนได้แวะมาจับจ่ายชอปปิง และคาเฟให้มานั่งชิลกัน

น้ำตก Múlafossur แลนด์มาร์กของเกาะ
หนึ่งในแลนด์มาร์กที่สำคัญของที่นี่น่าจะเป็นน้ำตก Múlafossur ตัวน้ำตกตั้งอยู่บนเกาะ Vágar Island ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินและเกาะท่องเที่ยวหลักของหมู่เกาะแห่งนี้ด้วย มาถึงมุมนี้ ต้องออกแรงเดินกันนิดหน่อย เพื่อไปชมน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูง 60 เมตร ลงสู่ท้องทะเล เรียกว่าเป็นวิวสุดอลังการที่หมู่เกาะแฟโรเองก็ใช้ภาพนี้ในการโปรโมตการท่องเที่ยว
ตรงริมผายังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน Gásadalur หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีชาวบ้านไม่ถึง 20 ครอบครัว ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้เคยตัดขาดจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานาน แต่หลังจากที่มีการสร้างอุโมงค์เมื่อปี ค.ศ. 2004 การเดินทางสู่หมู่บ้านและน้ำตก Múlafossur จึงเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น

หมู่บ้าน Bøur ที่แสนสงบ
หมู่เกาะแฟโรจะมีหมู่บ้านเล็กๆ กระจายอยู่ตามเกาะต่างๆ หนึ่งในนั้นคือหมู่บ้าน Bøur หมู่บ้านเก่าแก่ริมชายฝั่ง ที่บ้านเกือบทุกหลังมุงด้วยหลังคาหญ้า กลมกลืนกับทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก และแม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีผู้อยู่อาศัยไม่ถึง 70 คน แต่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เงียบสงบที่วิวสวยงามมาก

ไฮกิ้งไปชมทะเลสาบลอยฟ้า
หมู่เกาะแฟโรขึ้นชื่อเรื่องเส้นทางไฮกิ้ง มีให้เลือกเยอะมาก แต่ถ้าเป็นเส้นทางที่เป็นไฮไลต์คือเส้นทางที่เดินไปชมทะเลสาบลอยฟ้าที่ Trælanípa หรือ Slave Cliff จุดชมวิวริมผาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 142 เมตร จะไปที่นี่ต้องใช้เวลาเดินไป-กลับราว 2.5-3 ชั่วโมง เส้นทางเดินไม่ยากเท่าไหร่แต่วิวสวยมาก
จุดชมวิวปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าโอบล้อมทะเลสาบที่ทอดยาวลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก หากมองจากอีกฟากหนึ่ง จะพบว่าทะเลสาบแห่งนี้ล่องลอยอยู่เหนือมหาสมุทร เป็นทัศนียภาพที่สวยอลังการมาก

ชมพิพิธภัณฑ์ที่หมู่บ้าน Saksun
หนึ่งในหมู่บ้านเก่าแก่ที่เป็นมุมนิยมของนักเดินทางคือหมู่บ้าน Saksun อยู่ห่างจากเมืองหลวงของหมู่เกาะแฟโรไปราวๆ หนึ่งชั่วโมง ที่นี่มีบ้านหลังคาที่ปกคลุมด้วยผืนหญ้าเยอะมาก โดยเฉพาะโบสถ์สีขาวปกคลุมด้วยหลังคาหญ้าสีเขียวที่เป็นไฮไลต์ของที่นี่
หากใครมีเวลา หมู่บ้านนี้มีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมเกี่ยวกับประวัติและเรื่องราวของหมู่เกาะแฟโรกันด้วย มีคาเฟ่ให้นั่งจิบอะไรอุ่นๆ รวมถึงมีเทรลให้เดินไฮกิ้งกันแบบพอหอมปากหอมคอ

หมู่บ้านเก่าแก่ที่สุด Kirkjubøur
ยังมีหมู่บ้านเก่าแก่ที่สุดของหมู่เกาะแฟโร และเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนาที่สุดของประเทศ คือหมู่บ้าน Kirkjubøur ที่นี่มีบ้านไม้เก่าแก่ที่สุดอายุกว่า 900 ปีที่ยังมีคนอาศัยอยู่ ปัจจุบันเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และบ้านของตระกูล Patursson ซึ่งเป็นตระกูลสำคัญของแฟโร
ยังมีโบสถ์ประจำหมู่บ้านที่เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังใช้งานอยู่ในหมู่เกาะแฟโร สร้างในศตวรรษที่ 12 รวมถึงมีซากโบสถ์หินขนาดใหญ่ที่สร้างในราวศตวรรษที่ 13 ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ยังคงโครงสร้างเดิมไว้ได้อย่างงดงาม
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของหมู่เกาะแฟโร สถานที่ที่คนรักธรรมชาติปักหมุดเอาไว้เลย



