counters
hisoparty

‘Mongolia’ the land of blue sky

5 years ago

อูลานบาตอร์ (Ulanbataar) ในยามวิกาล มองไม่เห็นทั้งความเขียว และความใหญ่ ที่บอกว่าใหญ่เพราะถ้าวัดจากจำนวนพื้นที่มองโกเลีย (Mongolia) ก็ถือว่าเป็นประเทศที่ไม่เล็ก คิดง่ายๆ ว่าใหญ่กว่าไทยราวๆ 3 เท่า แต่มีประชากรแค่ 2 ล้านกว่าคน แถมตัวเลขนักเดินทางที่เข้าไปท่องเที่ยวแต่ละปียังไม่ถึง 5 แสนเลย

ไม่ใช่ไม่น่าเที่ยว แต่เป็นเพราะข้อจำกัดเรื่องสภาพอากาศมากกว่า ปีๆ หนึ่งจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปแค่ 3-4 เดือนเท่านั้น คือช่วงมิถุนายนถึงกันยายน เป็นช่วงฤดูร้อนที่สั้นมาก และมีฝนตกด้วย

ที่จริงที่นี่มีสภาพอากาศหลากหลาย ใครมาช่วงฤดูใบไม้ผลิอุณหภูมิจะแปรปรวนเผลอๆ จะเจอพายุทะเลทรายด้วย แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงฤดูหนาวอุณหภูมิจะลดฮวบเลย หนาวมากขนาดติดลบ 40 องศาเชียวล่ะ นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมถึงมีนักท่องเที่ยวมาไม่เยอะ ส่วนฉันก็เหมือนนักเดินทางส่วนใหญ่ที่เลือกมามองโกเลียช่วงซัมเมอร์ ขนาดนี้ตอนกลางคืนยังรู้สึกเย็นเฉียบเลย

มองโกเลียเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิมองโกลในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ต่อมาเสียอำนาจให้จีนเมื่อราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิงเข้ามาปกครอง มองโกเลียได้รับเอกราชจากจีนเมื่อปี 1921 จากการช่วยเหลือของสหภาพโซเวียต แต่ตอนนั้นก็ต้องแลกด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งถึงช่วงล่มสลายของสหภาพโซเวียตราวปี 1990

นั่นแหละมองโกเลียถึงได้เปลี่ยนมานำระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาใช้แทนระบบคอมมิวนิสต์ ทำให้กลิ่นอายทั้งของจีน และรัสเซียยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศเหนือท้องฟ้าเมืองอูลานบาตอร์

รุ่งเช้าที่ซัมเมอร์ถูกห่มไว้ด้วยกรุ่นเย็น ฉันยืนสำรวจอูลานบาตอร์ตรงลานกว้างใจกลางเมือง นอกจากด้านข้างจะเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาลแล้วยังแวดล้อมไว้ด้วยอาคารสำคัญมากมาย ตรงนั้นมีทั้งอนุสาวรีย์ของสุขบาตอร์ผู้ประกาศอิสรภาพให้มองโกเลียนั่งบนหลังม้า และที่ทุกคนมองหาคือรูปปั้นของเจงกิสข่าน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของทำเนียบนั่นเอง ยังมีรูปปั้นของกุบไลข่าน และทหารคู่ใจของเจงกิสข่านด้วย

เย็นไม่พอ ยังเป็นซัมเมอร์ที่มีฝนปรอยๆ มาปะพรมเมืองด้วย แต่ก็ตกๆ หยุดๆ จากจัตุรัสสุขบาตาร์เลยนั่งรถไปที่วัดกันดานกันต่อ มาถึงวัดฝนยังพรำเม็ดอยู่เลย แต่ก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวเดินเข้าออกกันตลอด ก่อนเข้าวัดส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะแวะไปหมุนกงล้อภาวนาที่ตั้งอยู่หน้าวัด

ที่อูลานบาตอร์มีวัดของชาวพุทธมากกว่า 10 แห่ง แต่ถ้าเลือกวัดเดียวที่ต้องไปก็ต้องเป็นวัดกันดานแห่งนี้แหละ ที่นี่มีพระจำวัดอยู่ราว 150 รูป และยังคงสวดมนต์ภาวนาอย่างเคร่งครัดด้านหน้าเราจะเห็นผู้คนหอบลูกจูงหลานมาไหว้พระกัน เสร็จแล้วก็พากันให้อาหารนกที่ทำมาหากินอยู่ที่วัดนี้มากกว่าจำนวนพระซะอีก รอบๆ วัดจะมีกงล้อภาวนาให้คนได้เดินเวียนขวามาหมุนเพื่ออธิษฐานและขอพรกัน อารมณ์คล้ายเหมือนไปทิเบตเลย

ตัววัดที่สร้างดั้งเดิมเลยอายุจวน 300 ปีแล้ว เคยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ทางพุทธศาสนาของมองโกเลีย แต่ในช่วงปี 1938 ที่ปกครองโดยระบบคอมมิวนิสต์วัดหลายแห่งถูกทำลายรวมถึงที่นี่ด้วย ด้านในมีทั้งโซนที่เป็นอารามกันดาน สถูป และอารามหลังเล็กน้อยอีกหลายแห่ง แต่ที่เป็นจุดที่ผู้คนต้องไปกันก็คืออารามที่มีพระอวโลกิเตศวรประดิษฐานอยู่

ประติมากรรมขนาดสูงใหญ่ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในอารามหลังนี้ได้ แต่พอเข้ามาถึงก็ทำเอาทุกคนตกตะลึงกับพระพุทธรูปยืนทำจากทองแดงสูงถึง 26 เมตรครึ่ง เมื่อเดินไปรอบๆ ก็จะเห็นตามผนังทั้ง 4 ด้านมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ อีกกว่าพันองค์ ทั้งหมดนี้ทำให้ด้านในของอารามแห่งนี้เข้มขลังมาก

เอาเป็นว่า คนมาถึงอูลานบาตอร์นี่คือสถานที่ที่จำเป็นต้องมา ยิ่งถ้าใครอยากเห็นภาพศรัทธาอันงดงามของผู้คนที่มีต่อพุทธศาสนา ห้ามพลาดวัดกันดานเด็ดขาด 

ด้านนอกของวัดมีผู้คนชาวมองโกเลียที่แต่งตัวมากันเต็มยศเพราะมาร่วมงานแต่งงาน เพื่อความเป็นสิริมงคลของคู่บ่าวสาวเขาจะมาถ่ายรูปพร้อมครอบครัวกันที่วัดแห่งนี้ เราเลยพลอยได้เห็นสีสันไปด้วย

เที่ยวมาครึ่งวันแล้วเดี๋ยวขอไปหาอะไรรองทองก่อน เขาว่าอาหารมองโกเลียเนี่ยเต็มไปด้วยเนื้อประเภทต่างๆ เดี๋ยวไปร้านหนึ่งที่เขาว่าเป็นร้านดังประจำอูลานบาตอร์

ด้านในมีเนื้อสารพัดเลย เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อแพะ เนื้อม้าไปยันเนื้อไก่ ลูกค้าเข้ามาก็เลือกตักใส่ชามได้เลย เขาจะมีผักเอาไว้ให้ด้วย เลือกได้เสร็จก็เอาไปให้พ่อครัวเขาจะปรุงรสให้ และเป็นธรรมเนียมของที่นี่ พอของคาวจบปุ๊บเขาจะเสิร์ฟวอดก้ากันกลางวันแสกๆ

ใครคอแข็งจะซดหมดแก้วก็ไม่ว่า แต่คออ่อนแค่จิบไปอึกเดียวก็รู้สึกวาบไปทั้งหน้า หลังตุนเสบียงใส่ท้อง ฉันก็มุ่งหน้าไปที่พิพิธภัณฑ์โบกด์ข่านที่แค่อ่านข้อมูลก็อยากเข้าแล้ว ยิ่งพอเห็นประตูทางเข้ายิ่งอยากเข้าไปใหญ่  เพราะทั้งสวยและละเอียดประณีต ทั้งแกะสลักทั้งเพนท์ลวดลายสีสันฉูดฉาด

จะว่าไปที่นี่ก็เหมือนขุมทรัพย์ของมองโกเลีย  เพราะโบราณวัตถุนับหมื่นชิ้นที่รอไปสำรวจของนักเดินทาง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นข้าวของตั้งแต่ยุคที่มีกษัตริย์ปกครอง  ด้านในมีคอมเพล็กซ์ 4-5 แห่งที่แม้จะเป็นหลังเล็กๆ และค่อนไปทางเก่าแก่ แต่ก็อัดแน่นไปด้วยงานพุทธศิลปะที่วิจิตรและล้ำค่าทั้งสิ้น พวกงานทังก้านี่เห็นมาหลายที่ ทั้งทิเบต ภูฏาน และอินเดีย แต่ที่นี่ต้องบอกว่าละเอียดลออมาก ซึ่งภาพวาดทังก้าส่วนใหญ่ก็บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาเกือบทั้งสิ้น 

พอเดินอ้อมไปยังโซนที่เป็นพระราชวังฤดูหนาว มุมนี้เป็นอาคาร 2 ชั้นที่แสดงพวกรถม้า เสื้อผ้าอาภรณ์ ข้าวของเครื่องประดับ และพวกตู้เตียงที่ถูกเก็บไว้ในห้องหับอย่างดี แถมมีกระโจมแบบมองโกเลียที่เรียกว่าเกอร์ให้ดูด้วย

คนมาอูลานบาตอร์ก็อยากไปเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงให้เต็มตากันทั้งนั้นแหละ ฉันเองก็อยากเห็น แต่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์โบกด์ข่านมีแหล่งช้อปพวกผ้าแคชเมียร์ พอโฉบเข้าไปดู ถึงได้รู้ว่าที่นี่ผ้าแคชเมียร์คุณภาพดีมาก ก็อย่างที่รู้ว่าที่นี่หนาวกันเกือบทั้งปี พวกเสื้อผ้าอาภรณ์เขาต้องผลิตแบบรองรับความหนาวได้อย่างแท้จริง

ออกจากมุมช้อป ฉันนั่งรถไต่เขาขึ้นมาซักพัก แต่พอขึ้นมาถึงก็อมยิ้ม เพราะเห็นอูลานบาตอร์ได้เต็มตา แหงนหน้าขึ้นไปก็เป็นประติมากรรมชิ้นใหญ่รออยู่ข้างบน พอไต่บันไดขึ้นไปจึงพบว่าคุ้มค่ากับการปีนขึ้นมา วิวสวยจริงๆ แถมไม่ได้มีแค่รูปปั้นของทหาร แต่บนอนุสรณ์สถานแห่งการต่อสู้ไซซาน ยังมีภาพเขียนสีบนผนังรอบด้านให้นั่งดูอีกด้วย

แต่คงไม่มีอะไรเพลินเท่านั่งดูผู้คน เพราะเวลาเย็นย่ำปุ๊บ คนเขาจะขึ้นมานั่งกินลมชมวิวกันบนนี้ พวกนักศึกษาก็ชอบขึ้นมา คู่รักก็มานั่งจีบกันบนนี้ มีเกมปาเป้าเอาไว้ให้เด็กๆ เล่นกันด้วย ดูแล้วก็เพลินดี

พอขึ้นมานั่งดูบนนี้ รู้เลยว่าอูลานบาตอร์กำลังขยายเมืองให้ใหญ่ออกไปเรื่อยๆ ตึกก็ค่อยๆสร้างสูงขึ้น ไม่รู้อีกซัก 10 ปี หน้าตาของอูลานบาตอร์จะเป็นยังไง

อยู่กับอูลานบาตอร์จนหนำใจแล้ว เลยตีรถออกไปสำรวจชานเมืองของมองโกเลีย จึงพบว่าไม่ว่าจะเร่ไปทางไหนก็เจอทุ่งหญ้าและฟ้าสดปลั่ง เลยนอนกระโจม ขี่ม้า จนหนำใจก่อนตีรถกลับไปให้อูลานบาตอร์กอดแน่นๆ อีกครั้ง  

อยู่กับ Mongolia หลายวัน จนกล้าพูดได้เลยว่าที่นี่คือ The Land of blue sky โดยแท้

 

จากกรุงเทพยังไม่มีเที่ยวบินๆ ตรงไปอูลานบาตอร์ แต่บินเข้าฮ่องกง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ โซล หรือโตเกียวก่อนแล้วบินจากหัวเมืองเหล่านี้เข้าไปเมืองหลวงของมองโกเลียอีกที หรือใครที่ไม่อยากจะเดินทางเอง จะเลือกบริษัททัวร์ที่มีไกด์ดีๆ รับรองคุ้มค่า อย่างบริษัทโกลบอลยูเนียนเอ็กซ์เพรสมีโปรแกรมนำเที่ยวมองโกเลียที่น่าสนใจ คลิกเข้าไปดูที่ www.guetravel.com หรือโทร 02-3082104-6

สมัยก่อนคนไทยไปเที่ยวมองโกเลียต้องทำวีซ่า แต่เขาเพิ่งเปลี่ยนกฎได้ไม่นาน กลายเป็นว่าตอนนี้ถ้าจะเข้าไปเที่ยวไม่ต้องทำวีซ่าแล้ว

Story & Photo by กาญจนา หงษ์ทอง

SHARE