“นับเป็นความโชคดีที่เราค้นพบแพสชันของตัวเอง แล้วแพสชันของเราก็ทำให้เรามีวันนี้ได้” คำกล่าวภายใต้รอยยิ้มของคุณหนิง ก่อนจะเล่าเรื่องราวของเธอต่อไป
“หลังจากเรียนจบ หนิงเริ่มจากการทำงานประจำ โดยการเป็นพนักงานในบริษัทที่ทำชุดครัวนำเข้า และเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน ทำได้ประมาณ 2 – 3 ปี มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ต่างประเทศ จนรู้สึกสนุกกับการที่เราได้ไปทำบ้านลูกค้าแต่ละหลังมันไม่เหมือนกัน แต่ละบ้านก็จะมีพื้นที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเรื่องขนาด หรือความต้องการของลูกค้า ทำให้เราเล็งเห็นว่าการจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้ออกมาได้ ต้องผ่านกระบวนการพูดคุย ทำความรู้จักการใช้ชีวิตของลูกค้า ถ้าเราไม่รู้จักเขา เราไม่มีทางที่จะเข้าถึงลูกค้าได้เลยค่ะ”
การเริ่มต้นบทสนทนาที่แสนธรรมดา แต่ใครจะไปรู้ว่าในระยะเวลากว่า 11 ปี จะมีผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่มุ่งมั่น ตั้งใจ พยายามเรียนรู้ และสะสมประสบการณ์เกี่ยวกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ มือจับประตู มือจับหน้าต่าง มือจับตู้ จนกระทั่งสามารถปลุกปั้นแบรนด์ ‘Knuckle Olive’ แบรนด์ไทยแบรนด์เดียวที่มีวางขายในประเทศอังกฤษ และเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์เดียวที่มีสาขาอยู่ที่ลอนดอน
“ย้อนกลับไปประมาณปีที่ 4 เราตัดสินใจไปเปิดบริษัทที่ประเทศอังกฤษ ส่วนหนึ่งต้องบอกตรงๆ เลยว่าเพื่อระบายสต็อกในช่วงแรก ซึ่งพอเราไปเปิดที่อังกฤษ ก็ได้รับฟีดแบ็คที่ดีมากแล้วเราก็ได้รับรู้ถึงความชอบที่แตกต่างของลูกค้าที่เมืองไทยกับลูกค้าที่ลอนดอน คนไทยจะ conservative เรื่องมือจับก็จะเรียบๆ ง่ายๆ ในขณะที่ลอนดอน เน้นแต่สินค้าที่มีเอกลักษณ์ มีความแตกต่าง ไม่ใช่เพียงแค่มือจับตู้ แต่เป็นเหมือนจิวเวลรี่ ซึ่งตรงกับความรู้สึกของหนิง ที่มองว่าฮาร์ดแวร์ คือ จิวเวลรี่ ผู้หญิงยังต้องสวมกำไล สวมแหวน แน่นอน cabinet ก็ต้องมีองค์ประกอบ ไม่อย่างนั้นเรารู้สึกว่ามันไม่เสร็จ มันไม่จบ ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งทำให้เราเรียนรู้ตลาดได้ว่าต่างชาติทางฝั่งยุโรปกับไทย มีความต้องการต่างกัน แล้วการที่เราเปิดบริษัทที่อังกฤษ ทำให้เราระบายสต็อกได้ดีมาก แล้วก็ทำให้ Knuckle Olive เป็นที่รู้จักในหมู่ลูกค้าโซนยุโรป เนื่องจากตอนนั้น Knuckle Olive เป็นที่รู้จักในโซนเอเชียอยู่แล้วระดับหนึ่ง แต่ว่าพอก้าวไปในโซนยุโรป ทำให้การขนส่งง่ายขึ้น แทนที่ของจะต้องถูกส่งจากไทยไปยุโรป ก็ใช้ของจากที่ London base ไป ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่หนิงภาคภูมิใจเช่นกันค่ะ”
เรื่องราวก่อน Knuckle Oliveจะถือกำเนิด
“ระหว่างช่วงที่ยังทำงานประจำ หนิงมีโอกาสได้ไปทำงานอยู่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สิงคโปร์ประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นก็กลับมาเมืองไทย เพราะอยากจะมีลูก แต่ก็เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศหลายอย่าง ทำให้ตอนนั้นหนิงตกงาน จากผู้หญิงที่ชีวิตมีความสุขกับการที่ทุกวันจะมีลูกค้าโทรหา พอไม่ได้ทำงานก็รู้สึกว่ามันเหมือนขาดอะไรบางอย่าง หนิงก็เลยตัดสินใจคุยกับสามีขอไปค้นหาตัวเองที่อเมริกา 1 เดือน จนกระทั่งค้นพบว่าหลักๆ เราใช้ชีวิตอยู่แต่กับร้านฮาร์ดแวร์ มือจับประตู อุปกรณ์ห้องน้ำ เวลาจับแล้วรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกว่ามีแพสชันกับตรงนี้ จนกลับมาเมืองไทยเราก็บอกสามีว่าอยากทำธุรกิจนี้ สามีก็บอกว่าจะดีเหรอ ใครจะสนใจใครจะซื้อ ของราคาสูง เมื่อ 11 ปีที่แล้วคนไม่ให้ความสนใจในเรื่องอุปกรณ์มือจับประตู แต่กลับใส่ใจและยอมที่จะจ่ายเงินไปกับโซฟา โต๊ะ ตู้ เตียง มากกว่า ทั้งๆที่จริงๆ แล้วตอนที่เราทำบ้าน เรารู้สึกสำคัญนะ เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนมือจับประตู ยกเว้นมันพัง เราก็เลยรู้สึกว่า ธุรกิจนี้น่าสนใจ แต่ถามว่าในเมืองไทยมันมีคนทำอยู่แล้วไหม ต้องตอบว่ามี แต่ว่ามันไม่ได้ upscale ประกอบกับหลังจากกลับมาเราได้ซื้อคอนโดหลังแรกที่เป็นคอนโดหลังแต่งงาน เราจึงตกแต่งคอนโดในแบบที่เราต้องการ ใช้เวลาอยู่นานมากในการหาฮาร์ดแวร์ต่างๆ รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรถูกใจ เราเลย ไม่มีใครสามารถตอบคำถามอะไรได้ จนต้องติดต่อสั่งซื้อมาจากต่างประเทศปรากฏว่าสั่งของ 3 ครั้ง ใช้ไม่ได้เลย ถึงเป็นของชนิดเดียวกัน แต่มันมี minor specification บางอย่างที่มันต่างกัน เราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ แล้วจะต้องมาดีลอะไรผ่านต่างประเทศมันเป็นเรื่องที่ยาก เราก็เลยคิดว่าถ้าสามารถทำธุรกิจที่มอบความรู้ตรงนี้ให้กับลูกค้าได้ เราคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์”
Knuckle Olive ในยุคเริ่มแรก
“ช่วง 2-3 ปีแรกเป็นอะไรที่ยากมาก กับการให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นดีไซเนอร์ หรืออินทีเรีย ให้รู้ว่าอันนี้มันเป็นสิ่งสำคัญ ไม่มีใครเข้าใจ แต่พอเวลาผ่านไป ลูกค้าให้ความสำคัญมากขึ้น ลูกค้าเริ่มใส่ใจภาพลักษณ์ของบ้านมากขึ้น เรารู้เลยว่าโปรดักส์ของเรามีคุณภาพ แล้วเราศึกษาค่อนข้างเยอะกว่าที่เราจะได้มาเป็นโปรดักส์แต่ละชิ้น กว่าจะเลือกโรงงาน หรือเป็นสินค้าที่รับมาจากบริษัทไหนประเทศไหน เราต้องดีล 4 – 6 ประเทศเป็นขั้นต่ำกว่าจะได้ของ 1 ชิ้น เรารู้สึกว่ามันยากและท้าทาย แต่เราก็มั่นใจว่าสิ่งที่เราเฟ้นหามาให้ลูกค้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
ตัดสินใจเปิดโชว์รูมแห่งแรก
“เราตัดสินใจเปิดโชว์รูมเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพราะเวลาพูดถึงฮาร์ดแวร์ มือจับประตู มือจับหน้าต่าง มือจับตู้ หลายคนมองว่าเป็นร้านฮาร์ดแวร์แบบโชว์ห่วยหรือเปล่า เราพยายามหาที่อยู่หลายที่ จนกระทั่งวันหนึ่งเราขับรถไปเจอตึก (โชว์รูมปัจจุบัน) เราสังเกตเห็นรถขนดิน มีช่างเข้าออก เราก็เลยคิดว่าตึกนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง ลักษณะเป็นตึก 3 ชั้น แต่ชั้นที่ 3 ปิดไม่ให้ขึ้นตอนแรกทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่ายังไม่เปิด เราจึงหาทางจนสามารถติดต่อเจ้าของตึกได้ พอเราอธิบายให้ทางเจ้าของตึกฟัง เขาก็โอเคมาก พอดูโปรดักส์ ก็เชื่อมั่นในตัวเรา หนิงคิดว่ามันเหมือนพรหมลิขิต เพราะเขาเห็นและเชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำจะเป็นอะไรที่คนไทยไม่ทำกัน แต่ต้องเกิดแน่ๆ จากนั้นเราก็ได้ทำโชว์รูมในระยะเวลาเพียง 1 เดือน เต่โชคดีที่เราได้ดีไซเนอร์ที่เป็นลูกค้าเรา และชอบแบรนด์เรา มาดีไซน์โชว์รูมให้ โดยโจทย์ของเราคือทำยังไงก็ได้ให้มันหลวมที่สุด ไม่ต้องประหยัด ทุกอย่างต้องจับออกมาได้ ไม่เอาไม้อัดไม่เอาลามิเนต ต้องอยู่บนไม้สักเท่านั้น เราใช้งบประมาณในการทำโชว์รูมเยอะมาก แต่เราก็แฮปปี้มากกับดีไซน์ที่ออกมา แล้วเราคิดว่าลูกค้าก็ต้องแฮปปี้มากเหมือนกัน”
Knuckle Olive ครบรอบ 11 ปี
“ปัจจุบันเราดูแลกว่า 10 ซัพพลายเออร์ และเราเป็น regional ของเซาท์อีส เอเชีย แต่เพียงผู้เดียวที่ได้ขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เพราะฉะนั้นสำหรับหนิง ตอนนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในจุดที่เราพอใจนะ เราแฮปปี้ในจุดๆ นี้ แล้วก็สิ่งที่เราได้ทำ กว่าเราจะได้ supplier แต่ละเจ้า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เนื่องจากว่าอุปกรณ์เหล่านี้เป็นอุปกรณ์ custom made ถ้าสั่งมาแล้ว ติดตั้งไม่ได้ มีปัญหาหน้างาน นั่นหมายความว่าของชิ้นนั้นก็ต้องทิ้ง ซึ่งราคาถูก แต่มีน้ำหนักมาก ทำให้การขนส่งมีราคาที่สูงพอสมควร และดีลเลอร์ก็จะไม่มอบ exclusivity ให้เรา เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะได้ เราจะต้องอ่านหนังสือเยอะมาก คือทางโรงงานจะส่งเป็น encyclopedia มาให้ไปอ่าน ทำความเข้าใจ เสร็จแล้วก็ต้องมาสัมภาษณ์ ทำข้อสอบ ถ้าทำข้อสอบผ่าน ถึงจะได้เป็นดีลเลอร์ ซึ่งหนิงใช้เวลาอ่านอยู่ประมาณ 1 เดือนเราศึกษาจนกระทั่งเราตอบคำถามเขาได้ ตอบโจทย์เขาได้ จนได้เป็น ดีลเลอร์ ซึ่งบางดีลเลอร์ เราใช้เวลาจีบถึง 3 ปี แต่พอได้หนึ่งได้สองแล้ว หลังจากนั้นดีลเลอร์ ต่างๆ ก็เป็นคนติดต่อเข้ามาหาเราเอง จนวันนี้เราก็มีความสัมพันธ์ค่อนข้างเหนียวแน่นกับดีลเลอร์ ไม่ว่าจะมีลูกค้าติดต่อไปโดยตรงทางดีลเลอร์ ก็ให้ exclusive ว่าต้องติดต่อกับทางเราเท่านั้น ซึ่งตรงนี้เราถือว่าเราได้รับความไว้วางใจและเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเราและคู่ค้าค่ะ”
Life Time Warranty
“จากเดิมที่เรารับประกันอายุการใช้งานสินค้าอยู่ที่ 5 ปี ซึ่งก็นับว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับสินค้าระดับราคาเดียวกันในท้องตลาด เพราะส่วนมากจะรับประกันอยู่ประมาณ 1 ปี แต่หลังจากแบรนด์เดินทางมาถึงปีที่ 10 หนิงจึงตัดสินใจเปลี่ยนการรับประกันสินค้าจาก 5 ปี ให้เป็นตลอดอายุการใช้งานให้กับลูกค้า นั่นหมายความว่าถ้าคุณเดินเข้ามาเป็นลูกค้าของ Knuckle Olive แล้วบังเอิญเกิดปัญหาเกี่ยวกับสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะอุปกรณ์เสีย ไส้พัง จากนี้เราเปลี่ยนให้ฟรี ลูกค้าชำระเพียงเฉพาะค่าเดินทางเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้าเราได้เริ่มมอบ Life Time Warranty ให้กับลูกค้าไปบ้างแล้ว ผลตอบรับก็ค่อนข้างดีมากๆ เราจึงกล้าพูดได้เลยว่าตราบใดที่ลูกค้ายังให้ความไว้วางใจ Knuckle Olive เราก็พร้อมที่จะเซอร์วิสและดูแลสินค้าให้กับลูกค้าไปตลอดอายุการใช้งาน”
รักษามาตรฐาน ‘หัวใจของความสำเร็จ’
“ทุกครั้งที่หนิงทำบ้านลูกค้า หนิงมักจะใส่ใจเก็บทุกรายละเอียด หนิงชอบเชิญชวนให้ลูกค้ามานั่งคุยกับเราก่อน เพื่อที่เราจะได้ซักถาม เราถามค่อนข้างเยอะทีเดียว เราจะขอแปลนบ้าน เพื่อที่ว่าเราจะได้เอาตัวเองไปอยู่ในบ้านหลังนั้น พอเราไปอยู่ในบ้านหลังนั้น เราก็จะแนะนำได้ว่าใช้แบบนี้ หรือแม้แต่สิ่งที่หนิงสอนพนักงานทุกๆ คน จะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องมองถึงเม็ดเงิน ไม่ต้องมองถึงว่าฉันอยากจะขายของแพงเท่านั้น หรือฉันจะขายของมีสต็อกเท่านั้น เราต้องมองจากดีไซน์เป็นหลัก มองความต้องการลูกค้าเป็นหลัก มองความถูกต้องเป็นหลัก แล้วจะจบที่ราคาเท่าไรก็คือเท่านั้น เราสามารถถามงบประมาณของลูกค้าได้ว่าเค้าตั้งงบเท่าไหร่เพราะสินค้าของเรามีหลายลำดับราคา แต่มาตรฐานของเราเลยคือต้องมอบสิ่งที่มันใช่ที่สุดกับเขา แล้วเวลาเราทำ เราต้องเอาตัวเราเองเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น เปรียบเสมือนบ้านหลังนี้เป็นบ้านของเรา ถ้าบ้านหลังนี้เป็นบ้าน ของเรา เราจะทำยังไง ฉันอยากจะล็อกตรงไหน ตรงไหนไม่จำเป็นต้องล็อก ซึ่งตรงนี้เราคิดว่าสำคัญมากที่จะต้องตีโจทย์ให้แตก เพื่อที่ลูกค้าจะได้ทุกอย่างตรงตามความต้องการจริงๆ หลายๆ ครั้ง ถ้าย้อนกลับไปช่วงแรกๆ เวลาเราคุยกับลูกค้าเราจะโดนลูกค้าต่อว่าค่อนข้างบ่อย ในการถามคำถามเยอะ ลูกค้าไม่อยากตอบ แต่เดี๋ยวนี้ลูกค้ายอมมานั่งคุยกับเรา 3 – 4 ชั่วโมง บางเคสมานั่ง 2 วันติดเพื่อให้เราสเปคให้จบเลยก็มี ซึ่งเราคิดว่าตรงนี้ที่ผ่านมา เราทำได้ดี พอเราเข้าใจมากขึ้น การทำงานก็ง่ายมากขึ้น ดีไซเนอร์ก็จุกจิกกับเราน้อยลงค่ะ”
ความภาคภูมิใจในฐานะ Knuckle Olive
“อีกหนึ่งความภูมิใจของหนิงคือ การที่แบรนด์ Knuckle Olive ได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้าในต่างประเทศ โดยปัจจุบันเราเป็น Exclusive Dealer ถือแบรนด์ดังๆ มากกว่า 10 แบรนด์ ทำให้เรามีลูกค้าต่างประเทศค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะลูกค้าใน เซาท์อีส เอเชียไม่ว่าจะเป็น พม่า ดูไบ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง รวมทั้งเรามีโอกาสได้เดินทางไปทำบ้านให้ลูกค้าในหลายประเทศด้วยเช่นกัน หลายครั้งเป็นบ้านหลังเดิมของลูกค้า และในบางครั้งเป็นบ้านใหม่ที่สร้างเพิ่มจากลูกค้าคนเดิม สำหรับหนิงการที่เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าต่างชาติ นับเป็นการก้าวไปอีกระดับที่ดียิ่งขึ้นของ Knuckle Olive ค่ะ”
ชื่นชอบ ใส่ใจ ไม่ทิ้งลูกค้า พร้อมแก้ปัญหาให้เสมอ
“ความใส่ใจ ความรับผิดชอบที่เรามีให้ลูกค้า เราไม่ทิ้งลูกค้า เราอยู่กับเขาจนบ้านเสร็จ หรือ ถึงแม้จะไม่ได้คุยกัน แต่เราทำให้เขารู้ได้ว่าเราไม่ไปไหน ตรงนี้น่าจะเป็นจุดที่ทำให้เรามีวันนี้ค่ะ” คุณหนิงกล่าวทิ้งท้าย
สำหรับ นัคเคิล โอลีฟ 11 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับผู้หญิงชื่อ หนิง-สิริน ภิญญาวัฒน์ ที่จะพาธุรกิจฮาร์ดแวร์ในสถาปัตยกรรม ธุรกิจที่เริ่มต้นจากความรัก สามารถนำพาเธอก้าวขึ้นสู่นักธุรกิจหญิงระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่ใครๆ ก็ต้องจับตามอง
Photo By : VeerapholAuthor By : K_Wondrous