counters
hisoparty

Pretty…Procida

6 years ago

 

ถ้าอิตาลีรอบนี้ตั้งใจอยากให้เป็นอิตาลีแบบที่แปลกไป ลองออกเดินทางไปทางใต้ของแผนที่รองเท้าบูท แล้วซูมเข้าไปที่ชื่อของเกาะโพรชิดา (Procida Island) พูดเลยว่า อาจจะเป็นอิตาลีที่ทำให้คุณร้องว้าวก็ได้

เพราะอิตาลีหลายเที่ยวที่ผ่านมาหลายคนอาจจะวนเวียนอยู่แต่แค่โรม ฟลอเร็นซ์ ปิซา เวนิส มิลาน โคโม นาโปลี อมัลฟี โคสท์ อิตาเลียน ริเวียร่า แต่เกาะโพรชิดาซ่อนตัวอยู่กลางทะเลอย่างเงียบเชียบ

เกาะโพรชิดาอยู่ในเขตอ่าวเนเปิลส์ แค่นั่งเรือจากเมืองเนเปิ้ลส์ไปแค่ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงเกาะโพรชิดาแล้ว

เอาเป็นว่า ไปตั้งหลักที่ท่าเรือ Molo Beverello สำหรับคนจะไปเที่ยวเกาะโพรชิดานั้น จะมาถึงกี่โมงก็มีเรือไปทั้งนั้น เพราะเขามีเรือออกทุกชั่วโมง ตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปยัน 4 ทุ่ม

ใครที่พักย่านใจกลางเมืองเนเปิลส์ ท่าเรือ Molo Beverello จะอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ หาง่ายๆ คืออยู่ตรงข้ามกับคาสเทล นูโอโว (Castel Nuovo) ตรงแถวนั้นจะมีพวกโรงละคร และวังเก่าที่ตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว

และไม่ว่าจะใครจะนั่งเรือไปไหนก็มาเริ่มต้นกันตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกาะคาปรี ซอเรนโต้ ชายฝั่งอมัลฟี หรือแม้แต่นั่งไปไกลถึงเกาะซิซิลีก็มาเริ่มกันที่นี่ทั้งนั้น

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เรือค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ก่อนสมอจะถูกทอดลงแนบท่าเรือเกาะโพรชิดา มองจากบนเรือจะเห็นว่าเกาะโพรชิดาไม่ได้สวยสง่า สวยคลาสสิค สวยหวาน สวยเก๋ แต่เกาะโพรชิดาออกจะสวยแปลกๆ มองผาดๆ อาจชวนให้รู้สึกว่าเกาะนี้ควรจะอยู่ในกรีซมากกว่าอิตาลี ด้วยรูปพรรณสัณฐานบ้านสีพาสเทลซ้อนเกยกันบนระเบียงผาแบบนี้ น่าจะเป็นญาติผู้น้องของเกาะซานโตรินีที่พลัดพรากกันมา

โพรชิดาเป็นเกาะที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน และชะตากรรมก็แทบไม่ต่างจากเมืองอื่น เกาะอื่นในละแวกนี้ ที่ล้วนแต่เคยผ่านการปกครองจากพวกกรีก โรมัน หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาหลายมือ โดยเฉพาะในช่วงที่โรมันเข้ามาปกครอง เกาะแห่งนี้เป็นเหมือนที่พักตากอากาศของพวกขุนนางและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่

โพรชิดาเป็นเกาะเล็ก ขนาดพื้นที่น้อยกว่าเขตพระนครของบ้านเราซะอีก บ้านเรือนส่วนใหญ่นอกจากตั้งเรียงรายอยู่หน้าอ่าวแล้ว ยังเลื้อยไล่ไปตามเนินเขา

นี่คือหมู่บ้านชาวประมงที่ผู้คนยังหากินกับท้องทะเล แต่เรือที่เห็นจอดกันแน่นอ่าวนั้น มีทั้งเรือประมง เรือโดยสาร ไปยันเรือยอร์ช

สำหรับคนมองหาเกาะสวยอันแสนสงบ ไม่พลุกพล่านเหมือนคาปรี โพรชิดานี่แหละ ใช่เลย ยิ่งถ้าเป็นช่วงปลายออทั่มลามไปถึงวินเทอร์ด้วยแล้ว นักท่องเที่ยวยิ่งบางตา

เดิมทีเกาะนี้ก็เป็นเกาะที่อัตราความหนาแน่นต่ำอยู่แล้ว ผู้คนชาวเกาะมีแค่ราวๆ หมื่นคนเท่านั้น ถ้าใครต้องการพักร้อนแบบปลีกวิเวก ห่างไกลความชุลมุน ไปจนถึงมองหาสถานที่เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ มาเกาะโพรชิดานี่แหละ ใช่เลย

ลานกว้างด้านหน้าโบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา ปิเอตา (Chiesa di Santa Maria della Pietà) ที่เป็นมุมนั่งเล่นของชาวเมือง ชาวเกาะโพรชิดาดูจะใช้ชีวิตกันชิลล์ๆ บ้างพาลูกออกมาปั่นจักรยาน บ้างพาฝูงหมาออกมายืดเส้นยืดสาย ชายชราก้มๆ เงยๆ สำรวจสุขภาพของเรือประจำบ้านอันเป็นภารกิจประจำวันของเขา พรานเบ็ดบางคนอยู่ในมุมสงบเพียงลำพังรอคอยปลาชะตาขาดมาฮุบเหยื่อ ราวกับว่าคนเกาะนี้สะกดคำว่ารีบกันไม่เป็น เขาใช้ชีวิตกันอย่างไม่รีบเร่ง ราวกับว่า ไม่มีโมงยามและนาฬิกามาคอยบงการชีวิต

บรรยากาศสบายๆ เนิบช้าแบบนี้นี่เอง บางฉากของหนังเรื่อง II Postino จึงเลือกยกกองถ่ายมายึดเกาะโพรชิดาเรื่องราวของบุรุษไปรษณีย์ และกวีพลัดบ้านที่ลี้ภัยจากชิลีมาอยู่เกาะอันแสนสงบ

และหากเดินข้ามฟากมาหาอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ ก็จะมีหมู่บ้านชาวประมงคอร์ริเกล่า (Corricella Village) และมีโบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา กราเซีย (Chiesa di Santa Maria della Grazie) ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน

บนป้อมปราการประจำเมือง มีวิวหกดาวของเมืองรอคอยทุกคนอยู่ มองโพรชิดาจากมุมนี้ จะเห็นเลยว่าเกาะที่ทอดตัวอยู่ตรงหน้า คือเกาะย่อมๆ ที่มีสัดส่วนโค้งเว้าเหมือนสาวเอวคอด มองเห็นทะเลได้ 2 ฝั่ง

บ้านเรือนหลากสีเลื้อยไล่ไปบนโตรกผา ว่ากันว่า นี่ก็เป็นอีกเกาะหนึ่งที่ถูกแผ่นดินไหวเล่นงานอย่างหนัก จนบ้านที่เห็นตั้งกันระเกะระกะสลับทันซ้อนกันไปบนหน้าผานั้นก็เป็นผลพวงจากแผ่นดินไหวนั่นเอง

เห็นแล้วจะเข้าใจเลยว่าทำไมนักเขียน กวี และศิลปินหลายต่อหลายคน ทำไมถึงชอบมาฝังตัวกันเพื่อหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของพวกเขา ก็โพรชิดาทั้งสวยและแสนสงบ สงบจนบางทีอาจเผลอได้ยินเสียงลมหายใจของท้องทะเล

มาถึงที่นี่แล้ว อย่าลืมแวะไปสำรวจหมู่บ้านคอร์ริเกล่าที่ใครๆ ก็บอกว่าน่ารักน่าหยิกเหลือเกิน ขนาดว่าเป็นหมู่บ้านที่เปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว แต่หมู่บ้านนี้น่าจะมีร้านอาหารไม่เกิน 10 แห่ง แห อวน และเครื่องไม้เครื่องมือในการออกทะเลยังกองอยู่เกลื่อนกลาด และที่ขาดไม่ได้คือเรือประมงที่จอดระเกะระกะอยู่หน้าเวิ้งอ่าว เรือนพักส่วนใหญ่ก็จะเป็นแนวเบด&เบรกฟาสท์ที่มีให้เลือกไม่มากนัก

ความจริงเกาะนี้อยู่ไม่ไกลจากเกาะคาปรีเท่าไหร่นัก และไม่ได้ห่างจากอมัลฟี หรือโพสิตาโน 2 เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังมากนัก แต่อาจชวนให้รู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก ที่นี่ไม่ค่อยมีร้านรวงเก๋ๆ มาคอยดักนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ขนาดร้านขายของที่ระลึกยังหายากเลย

ไม่ถึงขั้นไร้เดียงสา แต่ว่าโพรชิดาก็มีจริตจะก้านอยู่พอตัว นางยังเป็นสาวชาวบ้านในหมู่บ้านประมงที่ความสวยคงยังไม่เข้าหูใครมากนัก

ถ้าโพรชิดาเป็นแบบนี้ตลอดไปก็คงจะดี โล่งๆ หลวมๆ เห็นแล้วอาจรู้สึกเบื่อหน่ายฤดูร้อนบนเกาะคาปรีที่ผู้คนเดินเพ่นพ่านกันแน่นเกาะ ก็ดูคึกคักครื้นเครงอยู่หรอก แต่แน่นมากไปคาปรีก็กลายร่างเป็นสำเพ็งไปได้

อยู่กับโพรชิดาจนแสงสุดท้ายค่อยๆ บอกลาเถอะ จะได้รู้สึกว่ากำลังยืนอยู่ในสรวงสวรรค์อันลับตาผู้คน หากใครได้ไปเยือนจะรู้ว่า Exotic Italy อยู่ที่นี่นี่เอง

Story & Photo by กาญจนา หงษ์ทอง

SHARE