ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เรานั่งคุยอยู่ด้วยนี้ เป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ ของช่องที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศอย่างช่อง 7 HD นอกจากนั้นยังมีคนให้ฉายาคำว่า ‘ห้างแตก’ ต่อท้ายชื่อเขามาแล้ว และที่สำคัญละครที่เขาเล่นหลายๆ เรื่องได้รับความนิยม รวมถึงมีเรตติ้งที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราจึงสร้างภาพของเขาไว้ว่าน่าจะเข้าถึงยากพอสมควร
ซึ่งเมื่อถึงในวันนัดหมาย ภาพที่เราสร้างไว้ ก็หายวับไปในพริบตา เพราะสิ่งที่เราได้พบคือ ความน่ารักเป็นกันเอง ทั้งของตัวพระเอกคนนี้ และทุกคนรอบตัว นี่จึงทำให้เราไม่อยากเรียกการสัมภาษณ์นี้ ว่าบทสัมภาษณ์ เพราะจริงแล้วมันคือการพูดคุยสนทนา ทำความรู้จัก เหมือน เพื่อน พี่ น้อง ได้นั่งมาคุยกัน ในบรรยกาศสบายๆ มากกว่า นี่จึงเป็นที่มาของการ ‘คุยไปเรื่อยระหว่าง HISOPARTY กับ คุณเข้ม – หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล’
และแน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เราได้มีโอกาสมาพูดคุยกับเขาครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากกระแสของละครที่เพิ่งลาจอไป กับ ‘โซ่เวรี’ ที่พูดได้ว่า ทำให้หลายคนที่ไม่มีโอกาสได้ดูละครเท่าไรนัก ได้หันกลับมาเฝ้าหน้าจอรอดูเรื่องราวความรักของพระนาง ซึ่งเราขอประเดิมคำถามแรกด้วยความรู้สึกพระเอกของเรื่องที่มีต่อปรากฏการณ์พ่อจ๋า แม่จ๋า (*คำเรียกพระเอกนางเอกจากละครโซ่เวรี)
“แรกๆ จะตื่นเต้น เพราะเรายังไม่เคยมีคู่จิ้น ยังไม่เคยมีกระแสอะไรแบบนี้มาก่อนนะครับ ทำให้รู้สึกทั้งตื่นเต้น ดีใจ และมีกำลังใจในการทำงานครับ ส่วนในเรื่องความสำเร็จ สำหรับผมจริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนต้องการความสำเร็จในชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว สำหรับเรื่อง ‘โซ่เวรี’ คือเกินคาดกว่าที่เราตั้งไว้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นละครที่เรารักมากๆ เรื่องหนึ่งนะครับ ทั้งผู้จัด ผู้กำกับ รวมถึงทั้งบรรยากาศในกอง ทั้งตัวละครรวมถึงทุกๆ อย่าง เราอยู่กันมาปีนึงเต็มๆ อยู่กับตัวละครของปรินทร์ เราเลยรู้สึกว่าถ้าคนดูได้ดูแบบที่เราได้ถ่ายทอดออกไป แล้วรู้สึกตามที่เราได้แสดงออกไปคงจะดี แต่ผลปรากฏว่าทั้งกระแส ทั้งเรทติ้ง ทั้งอะไรทุกอย่างกลับเกินคาดเราไปหมดเลย ทุกคนชื่นชอบ และเกิดกระแสคู่จิ้นขึ้นมา ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าเราจะมีคู่จิ้น เพราะก่อนหน้านี้เราเล่นละครบู้ เข้าป่า อยู่กับอะไรแบบนั้น แต่พอมีคู่จิ้นเราก็รู้สึกว่า มันดีนะ เวลาเราได้ไปเจอแฟนๆ ทั้งบ้านเข้ม บ้านมุก บ้านเข้มมุก อะไรแบบนี้ ทำให้เราเหมือนได้ไปเติมเต็ม ได้ไปชาร์จพลังจากตรงนั้น มันได้กำลังใจดีครับ”
เข้มบอกว่าเมื่อก่อนเล่นบู้ อยู่ป่า จนมาเป็นคุณปรินทร์ แล้วเรื่องไหนตั้งแต่แสดงมาที่ใกล้เคียงความเป็นตัวเรามากที่สุด
“ถ้าใกล้เคียงเลยน่าจะเป็นเรื่องแรกครับ เรื่องไฮโซสะออน ในเรื่องจะเล่นเป็นเด็กต่างจังหวัด มีภูมิลำเนาอยู่ที่ภาคอีสาน จะใกล้ตัวหน่อย พระเอกจะทำงานในอู่ ซึ่งส่วนตัวเรา เราก็เคยเรียนเกี่ยวกับช่างมาก่อน เราเคยเรียนสายเทคนิคมา เรื่องนี้จึงค่อนข้างที่จะใกล้ตัวครับ และในส่วนบทคุณปรินทร์นี่ห่างทุกอย่างครับ (หัวเราะ) ห่างทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นอายุ วุฒิภาวะในการทำงาน การศึกษา อารมณ์ของเขา ความคิดความอ่าน การวางแผนของเขามันต่างจากเราโดยสิ้นเชิงครับ (ยิ้ม) ซึ่งก่อนแสดงเราต้องไปทำความรู้จัก ทำการบ้านหนักในเรื่องของปรินทร์ เพราะเขาเก่งในเรื่องของการตลาด เราก็ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของการตลาด เพื่อนำมาใช้เวลาแสดง อย่างฉากที่พูดในห้องประชุมเราต้องเข้าใจความหมายที่เราพูด ไม่ใช่ว่าพูดตามบทไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่เข้าใจไม่รู้เลย ที่สำคัญตัวเราเองต้องเห็นภาพในสิ่งที่ตัวปรินทร์จะถ่ายทอดให้กับคนที่อยู่ในห้องประชุมได้เห็น เราต้องเข้าใจภาพนั้นก่อน เพราะฉะนั้นเราต้องไปทำการบ้านเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ให้เยอะ ต้องศึกษาคาแร็คเตอร์ของตัวละคร ผมก็จะดูหนัง ดูภาพยนตร์ ดูซีรีย์ แล้วหยิบบางสิ่งบางอย่างมาใส่ในตัวปรินทร์ สิ่งที่มันสามารถเป็นปรินทร์ได้ แต่ไม่ใช่ว่าไปก็อบเขามาทั้งหมด แค่หยิบบางอย่างที่คิดว่าควรจะเป็นมันควรจะใช่ แล้วก็สร้างตัวละครตัวปรินทร์ขึ้นมาให้ทุกคนเชื่อว่านี่คือ ปรินทร์ ไม่ใช่เรา”
แสดงว่าก่อนเล่นละครทุกเรื่องเข้มทำการบ้านค่อนข้างเยอะ
“ใช่ครับ เพราะผมเชื่อว่างานทุกงานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร ถ้าเรามีลายเซ็นที่มันชัดเจน คนจะจำเราได้ แต่ถ้าเกิดเราเล่นในรูปแบบของคนอื่นคนจะจำว่ามันคล้ายๆ คนนั้น คล้ายคนนี้ แต่เขาจะไม่ได้จำว่าเป็นเรา ไม่จำว่าเป็นตัวละครที่เราเล่นอยู่ เขาจะไม่เชื่อตามที่เราทำ ผมจึงตั้งใจกับทุกเรื่องที่ผมแสดง ตั้งแต่ไฮโซสะออน และเรื่อยมาเรื่องอื่นๆ ผมจะพยายามสร้างคาแร็กเตอร์ขึ้นมาให้ชัดแล้วลองขายให้ผู้กำกับดูว่ามันควรจะเป็นแบบนี้ไหม ตัวเราจะทำไปสัก 50% อีก 50% ลองไปขอคำแนะนำ เพราะบางเรื่องเราไม่รู้บททั้งหมด เราจึงต้องให้พี่เขาช่วยแนะนำว่าต่อจากนี้ไปมันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเราจะเห็นภาพได้ชัดว่าอ๋อตัวละครตัวนี้มันจะเดินไปแบบนี้ ตัวละครตัวนี้จะเดินไปแบบนี้ครับ”
ถือว่าเข้มมีการทำการบ้านที่ดีมาก เพราะเราคิดว่าการเป็นนักแสดง คืออาชีพของเราใช่มั้ย
“ใช่ครับ มันคือ อาชีพ หนึ่งอาชีพเลยครับ”
แล้ว ณ ปัจจุบันนี้ เข้มกำลังจะมีผลงานอะไรบ้าง
“ตอนนี้กำลังถ่ายทำละครเรื่อง เผาขน และ เขยบ้านไร่สะใภ้ไฮโซครับ”
เรื่องหลังนี่เล่นกับใครคะ
“เขยบ้านไร่ เล่นกับมุกดา (คุณมุกดา นรินทร์รักษ์) ครับ เป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเจอกันเร็วมาก” (ยิ้ม)
เขยบ้านไรสะใภ้ไฮโซบทเป็นแบบไหน
“คอมเมดี้ครับ คอมเมดี้เลย ซึ่งผู้กำกับเราเคยร่วมงานกันตั้งแต่ไฮโซสะออนด้วย ทำให้เราจะรู้ทางกันแล้วว่า มันประมาณไหน อยากได้รูปแบบไหน เรื่องนี้จะเป็นคอมเมดี้จ๋าเลย แนวๆ สาวไฮโซกับหนุ่มบ้านไร่ ซึ่งบ้านไร่ก็จะเป็นแบบไทบ้านเลย จะมีมุขไทบ้านเข้ามาผสมด้วย สนุกครับ”
มุกดากับละครคอเมดี้
“มุกเขาจะมีความเป็นจังหวะ ความน่ารักอยู่แล้ว บางทีมันหลุดมาเป็นธรรมชาติของเขา มีหลายๆ มุมที่คนยังไม่เห็น แต่เราอยู่ด้วยกันมาเราจะเห็นว่า เอ้ย มุกน่ารัก มุกน่ารักเลยอ่ะ (คำแนะนำ: อันนี้ควรดูภาพวิดีโอประกอบการอธิบายความน่ารักนี้) เขาจะมีจังหวะมีอะไรที่เขาแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว”
มุมที่บอกว่าคนอื่นไม่เห็นแต่เข้มเห็น คือ
“ถ้าเกิดว่าให้เล่าเป็นภาพ คือ ความเป็นมุก ความเป็นมุกเลยครับ เขาเป็นคนอะไรก็ได้ เป็นผู้หญิงชิลๆ สบายๆ ให้ทำอะไรก็สามารถทำได้ ถ้าอยู่ในจุดที่ไม่เกินไป เขาเป็นคนทำงานง่าย และเป็นคนลุยๆ เขาจะมีมุมแบบนี้ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเขาอย่างหนึ่งเลยครับ”
ฟังที่เข้มเล่าแล้ว เราคงต้องรอติดตามเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อกันเลยทีเดียว
และจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ที่เข้มเข้าวงการมา 4 ปี ตัวเองเคยคิดมั้ยว่า เราจะมายืนอยู่จุดนี้ เพราะเรามองว่าตอนนี้เข้มเป็นหนึ่งในพระเอกเบอร์ต้นๆของช่องเลยก็ว่าได้
“จริงๆ ผมยังไม่ได้มองว่าเป้าหมายสูงสุดของเราคืออะไร เรามองแค่ว่าสิ่งที่เรากำลังดูแลอยู่ตอนนี้มันคืออะไรมากกว่า แล้วเราจะทำมันออกมาแบบไหน คือทุกครั้งเราไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องมีเบอร์ของตัวเองว่าเราอยู่เบอร์นี้ๆ เราอยู่ขั้นไหนแล้ว แต่เราจะรู้สึกแค่ว่า เรามีงานที่เราต้องรับผิดชอบหนึ่งชิ้นงาน แล้วทำอย่างไรให้หนึ่งชิ้นงานของเราสมบูรณ์แบบมากที่สุด ซึ่งทุกช่วงเวลาผมก็จะเป็นแบบนี้ คือตั้งใจดูแลงานของตัวเอง รับผิดชอบงานของตัวเองให้ดี ไม่ทำให้คนอื่นเสียเวลาเพราะเรา ไม่ทำให้คนอื่นต้องมารอเรา แต่ที่สุดแล้วการที่เราตั้งใจทำงานแบบนี้นั้นก็ต้องไม่ทำให้คนอื่นอึดอัดเหมือนกัน ซึ่งมันก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ครับ“
ถ้าวันนี้เข้มไม่ได้เป็นพระเอก เข้มคิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่
“น่าจะไปในสายทางที่เราเรียนมา ในช่วงวัยนึงเราไปทางสายเทคนิค สายช่างอะไรแบบนี้ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกทางหนึ่งที่เราชอบ เพราะเราชอบงานฝีมือ สายช่างจึงอาจจะเป็นงานที่เราได้ทำถ้าเกิดไม่ได้เข้ามาในวงการบันเทิงครับ”
ความฝันในวัยเด็ก
“ความฝันในวัยเด็กเลยนะ สมัยเด็กๆ ที่ยังไม่รู้ฝัน เราบอกว่าเราอยากเป็นด็อกเตอร์ บอกกับพ่อ กับแม่ บอกกับคุณตาคุณยาย เพราะคิดว่าถ้าเกิดว่าเราเป็นหมอเราก็ดูแลทุกคนที่เรารักได้ พอโตมาความคิดก็เปลี่ยนไปอีก คืออยากเป็นช่าง เพราะเราได้ไปเห็นในรูปแบบที่รู้สึกว่ามันเท่ดี คือถ้ามีรถมอเตอร์ไซค์แล้วสาวมอง (ยิ้ม) มันเท่ พอโตมาเรื่อยๆ ก็เปลี่ยนอีก อยากเป็นครู อยากเป็นตำรวจ อยากเป็นทหาร มันเปลี่ยนมาเรื่อยๆ ครับ คือเวลาเราได้เห็นสิ่งที่รู้สึกว่ามันสวยงาม ก็จะคิดว่าถ้าเราไปอยู่ตรงนั้นมันคงจะเท่มากๆ”
แล้วตอนนี้มีฝันอะไรที่อยากทำ
“อยากทำธุรกิจครับ ผมอยากกลับไปพัฒนาบ้านเกิดตัวเอง เพราะว่าหลายๆ คนยังไม่รู้ว่าบ้านเกิดของผมที่บึงกาฬมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ด้วยความที่ผมเป็นคนในพื้นที่ ทำให้ผมรู้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่บ้านผมมันเยอะ เยอะจนผมอยากให้ทุกคนในประเทศได้รู้ว่าบึงกาฬเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้แบบสบายๆ เลย ไม่ว่าจะเป็น น้ำตก อาหาร ประเพณีพื้นบ้าน มีอะไรที่น่าสนใจเยอะมาก ผมจึงคิดว่าถ้าเรามีโอกาสเป็นกระบอกเสียง เป็นสื่อกลาง ที่สามารถพาทุกคนไปเจอบ้านเราได้ มันคงจะดีนะ ใช้ชื่อของเราในตอนนี้เพื่อพัฒนาจังหวัดตัวเองมันก็คงจะดี อีกอย่างที่บ้านผมจะมีของดีคือเสื่อ เสื่อที่เขามาปูพื้น ที่บ้านผมเป็นแหล่งผลิตเลยครับ ซึ่งผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งผมโตกว่านี้ มีกำลังกว่านี้ ผมอยากจะช่วยพัฒนาสิ่งนี้เป็นนรายได้ให้กับชาวบ้าน วันนึงผมอยากให้ทุกคนรู้ว่า ถ้ามาเที่ยวบึงกาฬแล้วอยากจะซื้อของฝาก เสื่อ นี่แหละครับเป็นของฝากจากบึงกาฬ ต้องมาซื้อที่นี่ ต้องมาดูที่นี่ครับ”
เท่าที่คุยมาในหลายๆ เรื่อง สัมผัสได้ว่าเข้มเป็นคนมองโลก Positive มาก จริงแล้วเข้มเป็นคนมองโลกในแง่ไหน
“สำหรับผมดีไปก็ไม่ดี ไม่ดีเลยก็ไม่ดีเหมือนกัน ผมมองโลกในความเป็นกลาง เราจะเข้าใจความเป็นมนุษย์ สิ่งที่เขาต้องการ และสิ่งที่เขาไม่ต้องการอะไรอย่างนี้ ความถูกต้องกับความถูกใจมันมาคู่ขนานกันอยู่แล้ว เราจะเข้าใจว่าแต่ละคนต้องการอะไร แล้วสถานที่แต่ละสถานที่มันต้องการอะไรอย่างนี้มากกว่า คือเป็นคนเข้าใจโลกมากกว่าครับ”
แล้วเวลาที่เราเจอปัญหา เข้มมีการแก้ไขปัญหา หรือมีวิธีการจัดการกับปัญหาที่เราต้องเจออย่างไร
“ปัญหา ผมไม่เคยมองอะไรเป็นปัญหาเลย ผมมองแค่ว่ามันต้องมีอะไรที่ดีกว่านี้ มันต้องมีอะไรที่เราต้องเข้าใจมากกว่านี้ มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม ผมเลยคิดไม่ออกว่าอะไรมันคือปัญหา ตัวผมจะรู้สึกแค่ว่า ถ้ามันเกิดมีปัญหาขึ้นมาให้เราแก้ มันก็คือสิ่งที่เราต้องทำแค่นั้นเองครับ หรือถ้าผมเครียดจากเรื่องๆ หนึ่งอยู่ ผมจะหลับ จะนอน เพราะสิ่งหนึ่งที่เอากลับมาไม่ได้คือเวลา ถ้าเรามัวไปคิด ไปจมปลักอยู่กับมัน เราจะไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลย ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ดีตอนนั้น และแก้ไขได้ดีที่สุด คือนอน พรุ่งนี้เช้าเริ่มใหม่ สิ่งที่มันผิดพลาด หรือสิ่งที่ไม่ดีเราก็ปล่อย แต่ถ้าเกิดว่ามาเจออีกครั้ง เราจะรู้แล้วว่าเราต้องแก้ไขมันอย่างไร ผมจึงไม่ค่อยเจอปัญหา เพราะปล่อยวางได้”
ในทุกๆ วัน อะไรคือแรงผลักดัน ให้เราลุกขึ้นมาใช้ชีวิต
“โลกข้างนอกมันมีอะไรให้เราได้ไปเรียนรู้ ได้ไปสังเกตเยอะมากครับ แค่เดินออกมาเราเจอยามบ้านเรา เขายังเปลี่ยนไปทุกวัน หรือกลับมาตอนกลางคืนก็เจอไม่เหมือนกันแล้ว ขอแค่เราออกมา เราก็จะเห็นสิ่งใหม่ๆ ให้เราได้ลองเรียนรู้ ได้ลองทำความเข้าใจกับแต่ละอย่าง ในชีวิตประจำวันของเราผมว่าการใช้ชีวิตนี่สนุกมากนะ สนุกมากๆ แค่เดินลงบันไดมาเจอแม่ทำกับข้าว เราก็ได้เรียนรู้ได้พูดได้คุย ชีวิตมันสนุก ผมเน้นสนุก ไม่เน้นเครียด
ณ วันนึงเคยคิดว่าแรงผลักดันหรือแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตเราจะหมด
“ไม่ครับ เพราะยิ่งเราโตขึ้น มันจะมีหลายๆ อย่างให้เราได้วางเป้าหมายในชีวิตของเราเยอะตามไปด้วย ซึ่งเรามีหลายอย่างที่อยากจะทำ หนึ่งเลยคือพ่อแม่ครอบครัวต้องเป็นสุข ต้องอยู่ดีอยู่สบายก่อน แล้วค่อยมาถึงตัวเรา ค่อยมาถึงสิ่งที่เราอยากทำตามใจตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจหรืออะไรก็ตาม เพราะฉะนั้นแรงผลักดันของเราก็จะมีต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีเป้าหมายในชีวิตครับ”
กิจกรรมยามว่างตอนนี้คือ
“ถ่ายรูปครับ ว่างๆ ผมก็ถ่ายคุณแม่ ส่วนใหญ่ที่ทำก็คือถ่ายรูป ออกกำลังกาย อยู่กับตัวเอง ใช้ความคิดกับตัวเอง แต่ถ้าเกิดว่าว่างสักสองวันขึ้นไป เราก็จะไปรับพลังจากธรรมชาติ ไปเที่ยว ออกต่างจังหวัดครับ”
อยู่ในวงการมาถึงตอนนี้ เรามีเพื่อนสนิทในวงการมั้ย
“มีครับ ผมสนิทกับคนเยอะมาก แต่เขาสนิทกับผมไหมอีกเรื่องนึง (หัวเราะ) แต่ถ้าพูดถึงเพื่อนสนิทที่ไปด้วยกันบ่อยๆ จะเป็นแก๊งที่มีผู้จัดการคนเดียวกัน อย่าง ยูโร (คุณยศวรรธน์ ทะวาปี) เบน (คุณสันติราษฎร์ กุลนพเกียรติ) ครับ”
แล้วรู้ไหมว่ามีคนจิ้นเข้มกับยูโร
“รู้ครับๆ ยูโรเป็นรุ่นพี่ผมนะ เป็นพี่ผมปีนึง แต่เขาจะมีความเป็นเด็ก ความขี้อ้อน ความขึ้เล่น คือถ้าเขาสนิทกับใครสักคนนึง ก็จะเล่นแบบไม่ได้ห่วงภาพตัวเอง ไม่ได้รู้สึกว่าเราคือนักแสดงนะ เราคือพระเอก ต้อง Keep Look ถ้าสนิทยูโรจะแสดงออกแบบกอด หอม เล่นกันเหมือนอย่างที่ทุกคนเห็น แต่ถ้าไม่สนิทจะแค่คอยสังเกต อย่างที่ยูโรมันเล่นกับผมแบบมาหอม มากอดนั่นแสดงว่ามันไว้ใจเรา 100% อยู่กับเราแล้วมันสบายใจ มันสามารถปล่อยได้ทุกอย่าง เพราะว่าเราคอยเตือนมันถ้ามันมากเกินไป เราจะคอยประคองมันอยู่แบบนี้ พูดคุยตักเตือนกันได้ครับ”
ชื่อเรียกแฟนคลับของ เข้ม หัสวีร์
“เด็กเข้มครับ เป็นเด็กเข้มทุกคนเลย บ้านเข้ม หัสวีร์ ผมเรียกเด็กๆ เราอยู่กันแบบดูแลกัน แฟนคลับทุกๆ คนจะอยู่กันแบบพี่น้อง ใครเข้ามาต้องพร้อมเปิดรับ ทำให้เขาเห็นว่าบ้านเรามันอบอุ่นนะ อยู่ด้วยกันแล้วเราจะดูแลกันแบบนี้นะ และต่อให้ไม่มีผม เขาก็ยังเป็นเพื่อนร่วมงานกันได้ เวลาไปไหนมาไหนเขาก็นึกถึงกัน มีมิตรภาพที่ดี เหมือนเป็นครอบครัว เป็นพี่เป็นน้องสามารถคุยกันได้ทุกอย่าง ซึ่งผมรักทุกคน และทุกคนก็รักกัน”
เราคือความสุขของเขา และเขาก็คือความสุขของเรา
“ใช่ครับ เราแลกเปลี่ยนกัน”
คติที่เข้มยึดถือในการใช้ชีวิต
“เมื่อก่อนจะเป็น พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว อันนี้ในกรณีเวลาที่เรานอยด์ๆ ก็คิดว่าพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แต่ถ้าทุกวันนี้ คือ ทำทุกช่วงเวลา ทุกวินาทีของตัวเองให้ออกมามีคุณค่ามากที่สุด ทำให้ดีที่สุดในทุกๆ วันครับ”
ฝากไปถึงเด็กเข้มทุกคน
“ฝากถึงเด็กๆ ในบ้านนะครับ ทุกคนน่ารักอยู่แล้ว รักกันไว้ ถ้าเกิดว่ามีงานที่ไหนใครว่างใครสะดวกไปก็มาเจอกันนะครับ ใครที่รู้สึกว่าขาดกำลังใจก็สามารถมาเติมเต็มกันได้นะครับ”
สุดท้าย หลังจากที่ได้พูดคุย ทั้งในบทสัมภาษณ์ ที่ทุกคนได้อ่าน และบางอย่างที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมา รวมถึงอัธยาศัยไมตรีที่พระเอกคนนี้มีให้กับทีมงานทุกคน ก็ทำให้เราเข้าใจแล้วว่าทำไม ใครๆ ถึงได้รัก ‘เข้ม หัสวีร์’
Author: Arunlak
Photo: Veeraphol, Prakrit
VDO: Sirawit
ขอขอบคุณเสื้อผ้า Moo Moo, Cos, Zegna