ว่ากันว่ากว่าจะเดินขึ้นไปนำอยู่ในตำแหน่งที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องยากแสนยากแล้ว หากแต่การรักษาไว้ซึ่งตำแหน่งนั้นให้คงอยู่ ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่าหลายเท่านัก และในโอกาสที่แบรนด์เพชรคุณภาพชั้นนำของประเทศไทย ‘Beauty Gems’ (บิวตี้เจมส์) ได้เดินทางมาด้วยความสง่างามมั่นคงถึง 57 ปี จึงเป็นเรื่องที่ใครหลายคนอยากรู้ถึงวิธีคิดในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ทั้งยังเป็นผู้นำในแวดวงของอุตสาหกรรมอัญมณีมาอย่างยาวนาน ซึ่งคนที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวที่น่าจดจำนี้ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คุณหนึ่ง - สุริยน ศรีอรทัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวตี้ เจมส์ จำกัด
DNA ของบิวตี้เจมส์
“DNA ของบิวตี้เจมส์ ในความคิดของผม คงจะเป็นความจริงใจ และ SERVICE MIND บิวตี้เจมส์เป็นธุรกิจที่มอบความสุขให้กับ
ทุกคนผ่านอัญมณีที่สวยงาม ผมมองว่าลูกค้าทุกคนของบิวตี้เจมส์คือคนในครอบครัว
เราอยากที่จะคอยดูแลและให้คำปรึกษาในด้านอัญมณีด้วยความใส่ใจในทุกขั้นตอนการออกแบบและผลิตออกมาเป็นชิ้นงาน
ที่นอกจากจะมีความสวยงามแล้วยังมีคุณค่าทางจิตใจ อัญมณีก็อาจจะเปรียบเหมือนไดอารี่ที่จะบันทึกความทรงจำและเหตุการณ์ช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตของทั้งผู้ให้และผู้ได้รับผมดีใจทุกครั้งที่ได้เห็นลูกค้ายิ้ม และมี
ความสุขเวลาที่อยู่ที่บิวตี้เจมส์ครับ”
อะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้บิวตี้เจมส์ยังคงเดินทางได้อย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลา 57 ปี
“สิ่งสำคัญที่ทำให้บิวตี้เจมส์ยังคงเดินทางได้อย่างแข็งแกร่งก็คือ ความมุ่งมั่น และความตั้งใจ ต้องขอบคุณคุณลุง คุณพ่อ และคุณแม่ ที่วางรากฐานที่แข็งแกร่งให้บิวตี้เจมส์ ท่านนำความรู้ และจิตวิญญาณที่ตั้งมั่นนำมาบริหารธุรกิจ ตั้งแต่เด็กคุณพ่อ คุณแม่จะจ้างเก็บเพชรที่ตกอยู่ตามพื้นเม็ดละ 300 บาทก็รู้สึกว่านั่นมันมีค่ามากเราอยู่อย่างนั้นจนผูกพันกับมัน เป็นความรัก จนเรียนจบก็เข้ามาช่วยธุรกิจนี้เมื่อ 20 ปี
ที่แล้ว ร่วมกับ คุณสุรสิทธิ์ พี่ชายที่จะบริหารโรงงานและขยายตลาดไปยังอเมริกาส่วนของผมเองจะดูเรื่องการออกแบบ ดีไซน์เป็นหลัก ส่วนใหญ่บิวตี้เจมส์จะเน้นการส่งออกเป็นหลัก ตอนเริ่มเข้าทำงาน ผมวางเป้าหมายไว้ว่าอยากเห็นตลาดในเมืองไทยโตขึ้น อยากให้ของดีๆ อยู่กับคนไทย แม้ว่ากำไรจะไม่เยอะมากก็พยายามสร้างความรับรู้ว่าอัญมณีไทยนี้ดี เราอยากจะทำให้บิวตี้เจมส์เปรียบเสมือนกระบอกเสียงหนึ่งของอุตสาหกรรมอัญมณีที่จะช่วยกระตุ้นและผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็น ‘ครัวของโลก’ ในธุรกิจการผลิตอัญมณีครับ”
ผลงานที่เป็น Masterpiece ของบิวตี้เจมส์ ชิ้นงานที่ภาคภูมิใจที่สุด
“จริงๆ เราภาคภูมิใจในทุกๆ ชิ้นงานที่ทางเราได้ผลิต เพราะทุกชิ้นงานล้วนออกมาด้วยความตั้งใจ ตั้งแต่การออกแบบจนมาถึงขั้นตอนที่ละเมียดละไมในการผลิตออกมาเป็นชิ้นงาน แต่ถ้าจะให้ต้องพูดถึงความภาคภูมิใจสูงสุดตลอดการทำงานของบิวตี้เจมส์ คือการได้จัดสร้าง ‘เครื่องทรงพระแก้วมรกต’ ทั้ง 3 ฤดู เมื่อปี 2538 ครั้งนั้นเราได้รับมอบหมายให้จัดหาเครื่องทรงทั้ง 3 ฤดูใหม่ ซึ่งเป็นงานที่ยาก เพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ต้องเป็นผู้ทรงเองทั้ง 3 ฤดู เราต้องจัดหาอัญมณีให้ทันในเวลาไม่นาน เราเองต้องจัดหาพลอยทั้งหมดที่มีในเครื่องทรง เรียกว่าผนึกกำลังทั้งหมดผลิตออกมาอย่างตั้งใจ นั่นแหละครับคือความภาคภูมิใจอันสูงสุดของบิวตี้เจมส์ และอุตสาหกรรมอัญมณีไทย”
ความยากง่ายของการทำธุรกิจในฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งมาตลอด
“นับตั้งแต่วันแรกของการก่อตั้งธุรกิจจนถึงปัจจุบัน เราทำทุกอย่างให้คงมาตรฐานที่เราตั้งมั่นไว้ ไม่ลด ไม่หย่อน และหมั่นเพิ่มการพัฒนามุ่งมั่นอย่างมากในการทำแบรนด์ให้คนไทยรู้จัก เพราะผมรู้สึก
เสียดายมาก ถ้าอัญมณีน้ำงามหรือเครื่องประดับชิ้นที่งามที่สุดในประเทศของเรา จะไม่ได้ตกอยู่ในมือคนไทย ในปัจจุบันที่ตลาดการแข่งขันสูงในด้านออนไลน์ เราก็ไม่หยุดอยู่กับที่ เรามีค้าขายทางออนไลน์ ทางโซเชียลมีเดียเพื่อตอบโจทย์ ตอบสนองความต้องการและเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น ผมจะบอกลูกค้าของบิวตี้เจมส์อยู่เสมอว่า ‘เพชรไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย ไม่ใช่สินค้าเพื่อการอวดรวย’ แต่เป็นสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าขึ้นไปเรื่อยๆ เหมาะแก่การลงทุนและเก็บสะสม รวมทั้งยังสามารถส่งต่อให้ลูกหลาน และนำไปขายแลกเป็นเงินไว้ใช้ยามจำเป็นได้อีกด้วย“
ทัศนคติที่ทำให้ผ่านพ้นทุกวิกฤต
“ทุกวิกฤตให้บทเรียนกับเรา ทำให้เรียนรู้ว่าเมื่อเจอวิกฤต เราต้องสู้จนกว่าจะชนะ หรือไม่ก็จนกว่าจะหมดลมหายใจ เพื่อทำให้บริษัทและพนักงานอยู่รอดให้ได้ และการทำธุรกิจจะต้องเตรียมแผน 1-2-3-4 เผื่อไว้เสมอ เพราะอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน”
Author By : Arunlak