counters
hisoparty

ในหลวงในความทรงจำ หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี

7 years ago

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สำหรับดิฉัน คือ ความงดงาม ความเป็นสิริมงคลของชีวิต ช่วงที่ดิฉันได้มีโอกาสสัมผัสกับพระองค์ท่านเป็นช่วงที่ยังไม่ได้มีพระราชภารกิจมากนะคะ เมื่อทรงมีพระราชภารกิจมากจะเป็นช่วงปี 2515 ไปแล้ว ที่จะทรงเริ่มเสด็จออกต่างจังหวัดเยอะขึ้น เพราะตอนนั้นประเทศเรามีเรื่องเกี่ยวกับผู้ก่อการร้าย และปัญหาต่างๆ มากมาย หากย้อนไปในสมัยนั้น พระองค์ท่านจะอยู่ต่างจังหวัดเป็นเวลาเก้าเดือนในหนึ่งปี จนมีคำพูดอันหนึ่งที่คนกรุงเทพฯ จะน้อยใจว่าพระองค์ท่านไม่รักคนกรุงเทพฯ หรืออย่างไร ก็จะมีรับสั่งหนึ่งของ สมเด็จพระราชินีฯ รู้สึกว่าจะเป็นในวันเฉลิมฯ ท่านรับสั่งว่าไม่ใช่ท่านไม่รักคนกรุงเทพ แต่ว่าคนต่างจังหวัดมีความต้องการความช่วยเหลือมากกว่า และด้วยความที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของดิฉันทำงานถวายทั้งสองพระองค์ ก็ทำให้ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดนานๆ ด้วยเช่นกัน และด้วยความที่เราเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนจิตรลดา ก็จะถูกปลูกฝังอยู่แล้วว่าเราได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเกล้า จิตรลดาคือเรียนฟรี อาหารฟรี จ่ายแต่ค่าสมุดดินสอ กับค่าหนังสือเรียนแค่นั้นเอง อีกอย่างในตอนเด็กจะมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ดิฉันรักมาก อ่านแทบจะทุกวัน เป็นหนังสือที่จัดทำขึ้นตอนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เจริญพระชนมพรรษาครบ 36 พรรษา เป็นหนังสือปกแข็งสีเหลืองหุ้มด้วยผ้าไหมแล้วประทับตรา ภปร. สมเด็จพระราชินีฯ ท่านโปรดให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค จัดทำขึ้นเพื่อมอบให้กับผู้ที่มาถวายพระพรในวันเฉลิมฯ รวบรวมเรื่องราวตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ประสูติ เป็นพระราชประวัติ รวมทั้งมีรูปภาพต่างๆ รวมไปถึงภาพการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศ ยามที่ดิฉันอ่านก็จะอินไปกับหนังสือ ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนชอบเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อย่างนี้อยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้จึงเป็นอะไรที่แทบจะท่องจำได้ รู้แทบทุกรูป พอโตขึ้นยิ่งรับรู้ ได้คิดตามในสิ่งที่ทรงทำมากขึ้น ก็ยิ่งซาบซึ้ง ยิ่งเข้าใจ”

“มุมมองของดิฉันคงเป็นมุมมองของคนที่เคยเห็น รับรู้ว่าพระองค์ท่านเคยเป็นอย่างไร แล้วทำไมถึงต้องทรงเสียสละถึงเพียงนี้ พระองค์ท่านเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมองตรงไหนก็ไม่มีที่จะติได้ ซึ่งเป็นโชคดีของคนไทยเหลือเกิน ตลอด 40 – 50 ปี ที่ผ่านมา พระองค์แทบไม่ได้เสด็จไปไหนเลย สิ่งที่หย่อนพระทัยที่ทรงทำคือการทรงดนตรี แล้วก็ทรงเล่นเรือใบ ตอนหลังสุขภาพไม่ดีก็ทรงเรือใบไม่ได้ ก็เหลือแต่ดนตรี ดิฉันได้มีโอกาสดูคลิปวิดีโอที่มีคนมาแชร์ในเฟซบุ๊ก เป็นคลิปที่พระองค์ทรงแซกโซโฟน สถานที่น่าจะเป็นที่โรงพยาบาลศิริราช แม้ว่าตอนนั้นพระชนมพรรษาจะแปดสิบกว่าแล้ว แต่ว่าแววพระเนตรของพระองค์ท่านสดใส แสดงให้เห็นถึงความสุขของพระองค์เป็นอย่างมาก ยิ่งมารู้เรื่องที่ว่าพระองค์ท่านอยากเสด็จนิวออร์ลีนส์ ก็ยิ่งสะท้อนใจ ตัวเรานี่เดินทางไปมาซะทั่ว อยากทำอะไรก็ทำ ซึ่งพระองค์เองก็อยาก ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่ทำ เพราะว่ายังเห็นแก่ประโยชน์ของเรา ที่ดิฉันเล่าให้ฟังเพราะต้องการจะบอกว่าหาไม่ได้แล้วใครที่จะเสียสละอะไรๆ ได้อย่างนี้ ลองไปดูพระราชกิจที่ทรงทำทุกวัน วันละตั้งกี่อย่าง พระองค์ท่านทรงน่ารักกับราษฏร  ไปนั่งย้อนดูภาพเก่าๆ ที่ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรที่มารอรับเสด็จว่า “ขอบใจ คอยนานไหม” ซึ่งเป็นพระราชจริยวัตรที่งดงาม มีเมตตากับราษฎรของพระองค์ และขณะเดียวกันก็ยังทรงงานอีก ค้นคิดทำนู่นทำนี่ ซึ่งความจริงพระองค์ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ แต่ก็ทรงทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อผลประโยชน์ของเมืองไทย ซึ่งก็เป็นคนไทยนี่แหละที่ได้รับสิ่งเหล่านี้”

สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้

“สมัยก่อนคุณพ่อคุณแม่ดิฉันเล่าให้ฟังว่า การเดินทางไปเยี่ยมราษฎรในแต่ละที่ลำบากมาก ด้วยพระนิสัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดเรื่องผักชีโรยหน้า เพราะฉะนั้นเวลาเสด็จฯ จะเป็นความลับว่าพระองค์จะไปจุดไหน หรือเวลาเสด็จฯ เฮลิคอปเตอร์ พระองค์ท่านจะไปลงที่จุดนั้นเลยก็ทำได้ แต่ก็ไม่เสด็จฯ อย่างนั้น พระองค์จะสั่งนักบินว่าให้ห่างออกมา 4-5 กิโลเมตรจากหมู่บ้านจุดที่จะไป เพราะว่าบ้านเขาไม่แข็งแรง ถ้าเฮลิคอปเตอร์ไปลงเดี๋ยวบ้านก็พัง พระองค์ท่านเลือกที่จะเดิน ตอนนั้นคุณพ่อของดิฉันก็มักจะเล่าให้ฟังว่าวันนี้เดินภูเขากี่ลูก ความคิดของพระองค์ท่านมีเมตตาทุกอย่าง ส่วนนี้คงเป็นเพราะสมเด็จพระราชชนนีท่านทรงอภิบาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาอย่างดี ทรงให้เรียนในโรงเรียนกับบุคคลทั่วไป เพราะฉะนั้นพระองค์ท่านจะเข้าใจชีวิตของคนทั่วไปได้เป็นอย่างดี และในหลวงก็ไม่โปรดอะไรที่หรูหราฟู่ฟ่า ทุกอย่างง่ายๆ ของเสวยก็เสวยได้ทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันเวลาที่ทรงงานก็ทรงสมที่เป็นพระราชาของเราในพระราชกรณียกิจที่ต้องไปต่างประเทศ หรือรับรองแขกต่างประเทศที่มาเมืองไทย ทั่วโลกทุกคนสรรเสริญ เปิดประตูเครื่องบินออกมา กษัตริย์และราชินีของเราก็ไม่น้อยหน้าใคร ทรงรับสั่งได้ 5-6 ภาษา พระปฏิภาณไหวพริบโต้ตอบทุกอย่างเป็นที่ประจักษ์ อย่างที่ดิฉันบอก สมบูรณ์แบบ หาไม่ได้แล้วอย่างนี้ในโลก”

“...ต่อให้โลกจะหมุนสักเท่าไร เธอยังคงสดใส อ่อนหวานเหมือนเคย ต่อให้ใครจะสวยเท่าไร รู้ไหมว่าฉันเฉยๆ ก็เพราะว่าเธอน่ารักทุกๆวั น จนไม่อาจเปลี่ยนใจฉันที่มีให้เธอได้เลย ฉันก็คงต้องบอกฉันรักเธอ เหมือนเคย...” – เพลงเหมือนเคย

“ตั้งแต่เพลงนี้ออกมาเวลาที่ดิฉันได้ฟังก็จะนึกถึงสมเด็จพระราชินีฯ ตลอด รู้สึกว่าอธิบายได้ถึงพระองค์จังเลย คือส่วนตัวดิฉันตั้งแต่จำความได้ก็รู้สึกมาเสมอว่า สมเด็จพระราชินีฯ ท่านเป็นคนที่อ่อนหวานมาก ทำให้เข้าใจว่าทำไมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงพอพระทัยตั้งแต่เห็นครั้งแรก ซึ่งสมเด็จพระราชินีฯ เองท่านก็ยังเด็กอยู่ตอนนั้น เรื่องนี้ดิฉันก็ฟังจากผู้ใหญ่เล่ามา และสมเด็จพระราชินีฯ เล่ามา ท่านก็เล่าให้ฟังเหมือนกับคนมีอายุทั่วไปได้เล่าเรื่องของตัวเอง ทรงพระสำราญทรงโปรดที่จะเล่าเหมือนกับว่าเป็นการฟื้นความหลังเก่าๆ ของพระองค์ท่าน”

“โดยเวลานั้นพระราชินีอายุเพียง 15 พรรษา ซึ่งตอนนั้นก็ทรงหงุดหงิดพระทัยจริงๆ เพราะทรงรออยู่ตั้งหลายชั่วโมง และพอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงก็ไปเสวยกับโต๊ะผู้ใหญ่ และให้เด็กๆ แยกไปอีกที่ ซึ่งก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้พบกับสมเด็จพระราชินีฯ (หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์) ในตอนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงทราบถึงความน่ารักจากสมเด็จพระราชชนนีมาก่อนแล้วในการเสด็จฯ เยือนปารีสครั้ง สมเด็จพระราชชนนีทรงรับสั่งเป็นพิเศษว่าให้ไปทอดพระเนตรลูกสาวของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ทรงกำชับว่า “เมื่อถึงปารีสแล้วให้โทรบอกแม่ด้วย” เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ถึงก็ทรงโทรศัพท์หา และตรัสว่า “เห็นแล้ว น่ารักมาก” ซึ่งในวันนั้นก็มีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก พระองค์ท่านก็รับสั่งให้ถ่ายรูปหมู่ แล้วสมเด็จพระราชินีฯ ก็ประทับอยู่ข้างหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัส“ยู้ฮู คนที่อยู่ข้างหลังยื่นหน้าออกมาหน่อย” ก็กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์นะคะ เพราะว่าพอทรงไปอัดขยายแล้วพระองค์ท่านก็ทรงตัดแต่พระพักตร์ของสมเด็จพระราชินีฯ เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุ ภายหลังต่อมาก็รับสั่งให้หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ ทราบว่าพระองค์ท่านคิดว่าทรงรักสมเด็จพระราชินีฯ แน่ ๆ เพราะว่าฟื้นขึ้นมาพระองค์ท่านคิดถึงอยู่ 2 คน คือคิดถึงสมเด็จพระศรีฯ กับสมเด็จพระราชินีฯ พอพระองค์ท่านฟื้นก็เรียกกระเป๋าสตางค์แล้วพระองค์ท่านก็ถวายรูปให้สมเด็จพระศรีฯ บอกว่า แม่ช่วยตามสิริมาหน่อย อันนี้ท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงศ์ เล่าให้ฟัง ตอนนั้นพระเนตรได้รับการกระทบกระเทือนก็ต้องปิดพระเนตรทั้ง 2 ข้าง ก็ให้จับพระหัตถ์ทีละคน พอสมเด็จพระราชินีฯ ถวายพระหัตถ์พระองค์ก็บอกว่านี่สิริกิติ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกุมพระหัตถ์ไว้นานมาก ในที่สุดสมเด็จพระศรีฯ ก็ทรงทูลขอหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ว่าให้สมเด็จพระราชินีฯ ทรงย้ายมาเรียนที่โลซาน ช่วงเวลานั้นก็ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีฯได้ทรงเรียนรู้พระนิสัยกันมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็ทรงประกาศหมั้นให้ทุกคนได้รับทราบก็เพราะคงถูกพระราชอัธยาศัย นอกจากทรงพระสิริโฉมแล้ว สมเด็จพระราชินีฯ ท่านก็น่ารักอ่อนหวาน พระทัยดี ไม่เห็นเคยทรงมองใครในแง่ร้าย ก็ไม่แปลกที่ทำไมพระเจ้าอยู่หัวจะทรงรัก

“ดิฉันเคยทูล ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทนี่ไม่ใช่หนึ่งในล้านนะคะ เพราะเป็นเรื่องราวที่โรแมนติกมากๆ ที่ทรงพบรักกัน พระราชาของเราพระองค์ท่านเป็นหนุ่มหล่อ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็โรแมนติก เป็นศิลปินแต่งเพลงก็หลายเพลง ที่ทรงพระราชทานสมเด็จพระราชินีฯ ไม่ว่าจะเทวาพาคู่ฝัน หรืออาทิตย์อับแสง เวลาถ่ายรูปก็โปรดที่จะถ่ายรูปสมเด็จพระราชินีฯ ด้วยพระองค์เอง เป็นความลึกซึ้ง ไม่เคยที่จะทิ้งรูปสมเด็จพระราชินีฯ สักใบหนึ่ง แล้วก็จะเห็นว่าทรงถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลาทั้งพระโอรสพระธิดา เป็นครอบครัวที่อบอุ่นน่ารัก และสายพระเนตรของพระองค์ที่ทรงมองสมเด็จพระราชินีฯ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจะอย่างไรก็เหมือนเดิม ความรักของพระองค์ท่านไม่เคยทำให้พวกเราผิดหวัง แล้วก็ยังเป็นรักที่เผื่อแผ่มาถึงเราทุกๆ คน ทั้งสองพระองค์ทรงงานก็ส่งเสริมกันซึ่งก็ทำเพื่อประโยชน์สุขของคนไทยทุกคน”

ฝากถึงคนไทยทุกคน

“ตอนนี้เรื่องราวของพระองค์ท่านได้ถูกนำมาเผยแพร่มากมาย ทำให้ทุกคนได้รู้ได้เห็น ดิฉันก็อยากให้ทุกคนทำให้สมกับที่เราเกิดมาในรัชกาลของพระองค์ สมกับที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ต้องเลิกนิสัยที่ฉาบฉวย อยากให้ทำความดี ซึ่งความดีของเราที่พระองค์ท่านทรงสอน คือเรื่องของหน้าที่และก็สติสำคัญที่สุด คนเรานี่ก็ต้องรู้ว่าตัวเองคือใคร หน้าที่คือหน้าที่อะไร เสร็จแล้วก็มีสติ สติก็คือทำสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีที่สุด ทำให้ถูกต้อง อย่าไถลไปในทางที่ผิดในทางที่ไม่ดี แค่นี้ทุกคนก็จะมีความสุข ยึดหลักการมีสติที่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม คนไทยในจำนวน 60 กว่าล้านคนนี่ก็เป็นผู้ที่มีการศึกษา เป็นคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย อยากให้ทุกคนช่วยกันนำพาประเทศเราให้เจริญก้าวหน้าต่อไป เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำให้มามากแล้ว จากที่ไม่มีน้ำไฟ ทำมาหากินไม่ได้ พระองค์ก็ไปพลิกฟื้นให้ สร้างน้ำ สร้างถนนหนทาง แน่นอนอาจไม่ใช่ทุกตารางกิโลเมตร แต่ว่าพระองค์ก็ทำไว้ให้เยอะมาก สืบสานกันต่อไป อย่าสักแต่ว่ารักวันนี้แล้วเดี๋ยวปีหน้าลืม มันไม่ถูกต้องนะคะ”

Photo By : Veerapol
Author By : Arunlak Tanomsin

SHARE