My Motherhood Experience
“สำหรับหยก ก่อนหน้านี้นึกภาพไม่ออกเลยว่าเราต้องเป็นแม่อย่างไร เพราะเดิมทีไม่เคยคิดว่าจะมีลูก แต่พอมีเขาเข้ามาในชีวิตเราแล้ว เขาทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น และเป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้น ชีวิตเราเปลี่ยนไปกลายเป็นคนที่ซอฟท์ลง และนึกถึงคนอื่นมากขึ้นด้วยค่ะ”
วิธีการเลี้ยงลูก
“หยกใช้หลายๆ อย่างผสมผสานกัน มีทั้งจากตำราด้วย และบางอย่างทดลองทำดู ซึ่งแต่ละอย่างถ้าลองทำแล้วไม่เวิร์กก็หาวิธีใหม่ไปเรื่อยๆ จนได้วิธีที่เหมาะกับลูกเราที่สุดค่ะ อันนี้หมายรวมถึงทั้งในด้านการเลี้ยงลูก ทั้งอาหาร และการดูแลสุขอนามัยต่างๆ ของลูกด้วยนะคะ”
การเลี้ยงลูกในยุคดิจิทัล
“การเลี้ยงเด็กในยุคนนี้ เราไม่ควรจะไปห้ามในการใช้สื่อต่างๆ นะคะ แต่เราควรจะสอนให้เขามีวัคซีน ให้เขารู้จักการรับข่าวสาร รู้จักวิธีการกลั่นกรองว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ และให้มีวิธีมองว่าสิ่งไหนเหมาะกับตัวเรา เหมาะกับประเทศของเรา เพราะว่าในบางครั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เราได้เห็นตอนนี้ มักจะมองข้ามวัฒนธรรมอะไรต่างๆ ของบ้านเราไป แต่น้องหยาดจะถูกสอนให้รู้จักรักษาวัฒนธรรม และตัวเขาเองชอบด้วย เขารักความเป็นไทย เขารักศิลปวัฒนธรรมไทย เพราะฉะนั้นในการใช้สื่ออะไรต่างๆ เราแค่สอนเขาให้มีสติตลอดเวลา ให้ใช้สติแยกแยะ เราฉีดวัคซีนให้เขาก่อน แล้วอะไรดีหรือไม่ดีเขาจะแยกแยะได้ด้วยตัวเองค่ะ”
สิ่งที่อยากให้ลูกของคุณยึดมั่นในการใช้ชีวิต
“หยกจะบอกเขาตลอดนะคะว่า แม่อยากให้ทุกคนรักหนูที่เป็นตัวหนู ไม่ใช่รักหนูที่หนูเป็นลูกแม่หรือลูกพ่อ คำถามต่อมาคือ แล้วจะรักที่เป็นตัวหนูได้อย่างไร ก็คือหนูต้องเป็นคนที่มีเมตตา มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นึกถึงคนอื่น และสำคัญที่สุด ต้องให้เกียรติคนรอบข้าง ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ในฐานะอะไร ต้องให้เกียรติทุกคนในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเท่ากัน”
ความสุขที่ได้จากการเลี้ยงลูก
“ก่อนหน้านี้ความสุขของเราคือการทำงาน การท่องเที่ยว การมีเพื่อนอะไรต่างๆ แต่ว่าทุกวันนี้ ความสุขก็คือครอบครัว สำหรับหยกครอบครัวสำคัญที่สุด ซึ่งการมีลูกทำให้เรารู้สึกว่านี่คือครอบครัวของเรา จากที่ปกติเรามักจะคิดถึงแต่ตัวเอง ฉันจะไปช้อปปิงที่ไหนดี ตื่นมาฉันจะไปไหนดี ฉันจะไปทำงานที่ไหนดี แต่ว่าพอมีลูกแล้ว ความสุขคือการที่เราได้เห็นเขาเจริญเติบโต มีสุขภาพดี เป็นคนดี มีจิตใจที่นึกถึงคนอื่น น้องหยาดเขาจะติดนิสัยจากหยกอย่างหนึ่ง คือเราจะนึกถึงคนรอบข้างเสมอ เพราะถ้าคนรอบข้างเรามีความสุข ตัวเรามีความสุข เราก็มีความสุขร่วมกัน สังคมก็จะน่าอยู่ค่ะ”
ความคาดหวัง
“สิ่งเดียวที่หยกคาดหวังจากลูก คือคาดหวังให้เขามีความสุข และสามารถรับมือกับความทุกข์ได้ เพราะว่าชีวิตจริงเขาจะไม่ได้เจอแต่ความสุขนะ เขาจะต้องเจอกับความสุขและความทุกข์คละเคล้ากันไป หยกไม่เคยคาดหวังว่าลูกจะต้องเป็นโน่นเป็นนี่ หยกจะบอกกับลูกเสมอว่า หนูไม่ต้องไปทำอะไรเพื่อคนอื่นเยอะหรอก แค่เราไม่ไป take advantage ไม่ไปเอาเปรียบคนอื่นก็พอแล้ว หนูทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วมีความสุข ไม่เอาเปรียบคนอื่น และไม่จำเป็นต้องทำอาชีพอะไรที่แม่เป็นคนกำหนดนะคะ ลูกมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ แต่ต้องดูแลตัวเองได้ ไม่รบกวนคนอื่น ไม่เดือดร้อนคนอื่น และที่สุดแล้วให้รับมือกับความทุกข์ให้ได้ นั่นคือลูกแม่”
สิ่งที่ทำประจำทุกวัน
“ในระหว่างวัน และทุกๆวัน สิ่งที่พูดอยู่เสมอคือเทคแคร์นะลูก แม่รักหนูนะคะ แค่นั้น และน้องหยาดก็จะบอกว่าโอเคค่ะแม่ หนูรักแม่นะ”
พลังแห่งการบอกรัก
“คำว่ารักสำคัญมากนะคะ เราจะไปคิดเอาเองว่าเขารู้อยู่แล้วไม่ได้หรอก ทุกคนก็อยากได้ยินคำหวานหู ถ้าเราพูดจนชินมันจะไม่เคอะเขินค่ะ พูดไปเถอะค่ะ เพราะวันนี้เรายังมีโอกาสได้พูดกัน วันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะไม่ได้พูดกัน เราต้องพูด บอกรักกันเยอะๆ นะคะ ไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นคุณแม่ คุณพ่อ หรือเป็นเพื่อน หยกให้ความสำคัญกับการบอกรัก หยกจะบอกรักลูกเสมอ เหมือนเป็นการรีมายเขาว่า ไม่ว่าเขาจะโตไปในวัยไหน หรือว่าเดินไปทางไหน เขาจะมีเราคอยซัพพอร์ต เป็นแบ็คให้กับเขาเสมอ แต่เราจะไม่แทรกกับเขาทุกสิ่ง ไม่ไปสั่งเขาทุกอย่าง และอีกอย่างในยุคนี้ ในโลกยุคดิจิทัล เราบอกรักกันทางไลน์ได้ เราแอดเฟรนด์เป็นเพื่อนกับลูกทางช่องทางต่างๆ ได้ เราปรับตัวให้ทันสมัยไปกับเขา หยกจะบอกรักเขาผ่านทั้งทางไลน์และต่อหน้านะคะ เป็นการบอกรักปรับไปตามยุคสมัยค่ะ” (ยิ้ม)
Author By : Arunlak